ทฤษฎีการเงินของเคนส์ คืออะไร
ทฤษฎีการเงินของเคนส์ (John Maynard Keynes) คือ เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายของรัฐบาลในการสร้างงานและเพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพื่อสร้างความเจริญพันธุ์ในเศรษฐกิจ การใช้เงินของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนในการลงทุนและการบริโภคนี้จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างความเจริญพันธุ์ในระยะยาว
นอกจากนี้ ทฤษฎีการเงินของเคนส์ยังเน้นความสำคัญของการเพิ่มรายได้ให้กับชนกลุ่มยากจนและกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยเพิ่มการบริโภคและเพิ่มเงินลงทุนในตลาด และการเพิ่มการจ้างงานเป็นหนึ่งในผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายการใช้จ่ายของรัฐบาลนี้ นั่นคือเมื่อรัฐบาลใช้เงินในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางหลวง สะพาน รถไฟฟ้า ฯลฯ จะส่งผลให้มีงานที่เพิ่มขึ้น และสร้างโอกาสให้กับประชาชนในการทำงาน ซึ่งจะช่วยลดอัตราการว่างงานในสังคมและเพิ่มรายได้ของประชาชนในช่วงระยะยาว ดังนั้น การใช้ทฤษฎีการเงินของเคนส์สามารถส่งผลกระทบต่อการจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ในหลายแง่มุม… ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเงินและการเงินที่ปลอดภัย การเพิ่มความสามารถในการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน การวางแผนการเงินในระยะยาว และการบริหารจัดการเงินรัฐบาล ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้ทฤษฎีการเงินของเคนส์จะเกี่ยวข้องกับการใช้เงินของรัฐบาลในการสนับสนุนเศรษฐกิจ เพื่อสร้างงานและเพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ทฤษฎีการเงินของเคนส์ยังมีก็มีข้อจำกัดและเสียดสีเช่นกัน ซึ่งบางครั้งการใช้เงินของรัฐบาลอาจทำให้เกิดการเพิ่มหนี้สาธารณะและส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจ และการใช้นโยบายการเงินของรัฐบาลในส่วนหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว และความสำคัญของการใช้ทฤษฎีการเงินของเคนส์ยังคงมีอยู่ในการจัดการเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากตลาดโลกมีความไม่แน่นอน และเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
แนวคิดในการถือเงินของเคนส์ John Maynard Keynes
แนวคิดในการถือเงินของเคนส์ John Maynard Keynes คือ เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า “ทฤษฎีเศรษฐกิจสังคม” (The General Theory of Employment, Interest and Money) ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อทฤษฎีปัจจุบันในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1930s
ในหนังสือนั้น เคนส์เสนอแนวคิดใหม่ๆ ที่ต่างไปจากทฤษฎีที่อยู่ในรูปแบบของสมการอย่างเข้มงวดของนิวตัน (Classical Economics) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน และกลายเป็นส่วนสำคัญของการวางแผนการเศรษฐกิจของรัฐ แนวคิดในการถือเงินของเคนส์สอนให้ควรต้องมีการใช้เงิน เพื่อเพิ่มการเงินในระบบเศรษฐกิจ เพื่อสร้างงานและยกระดับสภาพความเจริญของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองความเป็นไปได้ในการใช้ความสามารถในการสร้างเงินเพิ่มมากขึ้น และการทำงานของรัฐที่จะต้องมีการออกแบบการเงินเพื่อเพิ่มรายได้และการเงินในระบบเศรษฐกิจ และการแบ่งปันความสำคัญของเงินกับระบบเศรษฐกิจในรูปแบบที่เหมาะสม
หลักข้อแนวคิดในการถือเงินของเคนส์ John Maynard Keynes
- 1.การใช้เงินเพื่อสร้างงาน: เคนส์เชื่อว่าการใช้เงินเพื่อสร้างงานสามารถช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
- 2.ความสำคัญของการลงทุน: เคนส์เชื่อว่าการลงทุนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเพิ่มการเงินในระบบเศรษฐกิจ และสามารถช่วยเพิ่มปริมาณงานและสร้างความเจริญของเศรษฐกิจได้
- 3.ความสำคัญของการลดดอกเบี้ย: เคนส์เชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยส่งเสริมการลงทุนและการใช้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยลดการว่างงานและเพิ่มการผลิตในเศรษฐกิจ
- 4.การสร้างเงิน: เคนส์เชื่อว่ารัฐบาลสามารถสร้างเงินเพิ่มเข้าในระบบเศรษฐกิจเพื่อช่วยเพิ่มความเจริญของเศรษฐกิจ แต่จำเป็นต้องมีการควบคุมเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอินเฟเชียล
- 5.การปรับปรุงระบบการเงิน: เคนส์เชื่อว่าระบบการเงินของปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการเงิน
- 6.ความสำคัญของการเพิ่มค่าให้กับผลิตภัณฑ์: เคนส์เชื่อว่าการเพิ่มค่าให้กับผลิตภัณฑ์สามารถช่วยเพิ่มปริมาณงานและสร้างความเจริญของเศรษฐกิจได้ เพราะการเพิ่มค่าให้กับผลิตภัณฑ์สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการและลดความเสี่ยงในการลงทุน
- 7.การรักษาความสมดุลในระบบเศรษฐกิจ: เคนส์เชื่อว่าการรักษาความสมดุลในระบบเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการไม่รักษาความสมดุลอาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการใช้เงิน การลงทุนและการผลิตที่ไม่มีความมั่นคง
- 8.ความสำคัญของการแบ่งเบาภาระภาษี: เคนส์เชื่อว่าการแบ่งเบาภาระภาษีระหว่างผู้มีรายได้สูงและผู้มีรายได้ต่ำสามารถช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ในการใช้เงินและสร้างงานได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
- 9.การปรับตัวของระบบเศรษฐกิจ: เคนส์เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในอนาคต และการปรับตัวนี้จะช่วยลดความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจได้
ทฤษฎีความต้องการถือเงินของเคนส์
ทฤษฎีนี้กล่าวว่าผู้คนมีความต้องการถือเงินเพื่อใช้ในการเงินเฉพาะสำหรับความต้องการของตนเอง และความต้องการถือเงินนี้จะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ย ทฤษฎีความต้องการถือเงินของเคนส์ มีที่มาจาก ในปี ค.ศ. 1930 ช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของสำนักคลาสสิกใช่กันอยู่นั้น มีความเชื่อมั่นในกลไกตลาด จะปรับตัวให้ระบบเศรษฐกิจให้เข้าสู่ดุลยภาพอีกครั้งหนึ่ง แต่สถานการณืในตอนนั้นเศรษฐกิจตกต่ำ ปริมาณเงินและระดับราคาสินค้าลดลงอย่างมาก อีกทั้งยังจำนวนรอบของการหมุนเวียนของเงินก็ไม่ได้คงที่แต่กลับลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้ทฤษฎีของคลาสสิกไม่สามารถอธิบายภาวะเศรษฐกิจครั้งนี้ได้
จนกระทั่งได้มีการนำแนวคิดของ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ที่มีข้อคิดเห็นแตกต่างออกไปจากสำนักคลาสสิก ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนั้นได้จริง และเคนส์ยังได้อธิบายความต้องการถือเงินที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
- ความต้องการถือเงินเพื่อความปลอดภัย (Precautionary demand for money)
- ความต้องการถือเงินเพื่อการซื้อขายในอนาคต (Transaction demand for money)
- ความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน (Speculative demand for money)
ความต้องการถือเงินเพื่อความปลอดภัย (Precautionary demand for money)
ความต้องการถือเงินเพื่อความปลอดภัย (Precautionary demand for money) เป็นการถือเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น เกิดความเสี่ยงทางการเงิน หรือเกิดความเสียหายจากสิ่งไม่คาดฝัน เป็นต้น
ส่วนนี้จะเป็นความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยก็เนื่องจากรายรับและรายจ่าย ซึ่งรายได้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันความต้องการถือเงินประเภทนี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายในอนาคตที่ไม่สามารถ คาดการณ์ได้ล่วงหน้า เช่น การเจ็บป่วยหรือว่างงาน หรือในทาง ธุรกิจคือรายรับไม่เป็นไปตามที่กำหนด เป็นต้น ด้วยเหตุนั้นเอง รายได้ส่วนนี้ มีความจำเป็นในการถือเงิน เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งความต้องการถือเงินประเภทนี้มีความสัมพันธ์โดยตรง กับรายได้และมีความสัมพันธ์ผกผันกับอัตราดอกเบี้ย
ความต้องการถือเงินเพื่อการซื้อขายในอนาคต (Transaction demand for money)
ความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย เป็นการถือเงินเพื่อใช้ในการซื้อขายสินค้าหรือบริการในอนาคต เช่น การซื้อของในภายหลัง การจ่ายเงินค่าใช้จ่าย เป็นต้น
ในการดำเนินชีวิตภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตรา ดังนั้นประชาชนจำเป็นต้องถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย
สมมุติว่าสัดส่วนระหว่าง GNP กับมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนคงที่แล้ว ความต้องการถือเงินของครัวเรือนมีสาเหตุมาจากรายได้ (Income motive) และความต้องการถือเงินของธุรกิจมีสาเหตุมาจากความต้องการทางธุรกิจ (business motive) ต่างมีความสำคัญต่อความต้องการถือเงินของระบบเศรษฐกิจ
ตัวอย่าง
(ข้อมูลตัวอย่างจาก http://blog.bru.ac.th/)
สมมุติว่าประชาชนต้องถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย 100 ลบ. โดยรายได้ประชาชาติที่เป็นตัวเงินอยู่ที่ 400 ลบ. และถ้ารายได้ประชาชาติอยู่ที่ 500 ลบ. ประชาชนย่อมมีความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยจำนวน 125 ลบ. ซึ่งแสดงอยู่ในรูปสมการได้ดังนี้
- Lt = kY
ดังนั้น จำนวนเงินที่จะถือไว้เพื่อจับจ่ายใช้สอย (Lt) ย่อมแปรผัน โดยตรงกับระดับรายได้ประชาชาติ (Y) ส่วนค่า k ในกรณีนี้เท่ากับ 1/4 ค่าของตัว k นั้นเปลี่ยนแปลงได้ถ้าระบบสถาบันการเงินหรือโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป เช่นลูกจ้างได้รับค่าจ้างแต่ละครั้งลดลง แต่จำนวนครั้งที่ได้รับค่าจ้างถี่ขึ้น เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ประชาชนอาจต้องถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย 100 ลบ. ถ้าระดับรายได้ประชาชาติอยู่ที่ 500 ลบ. หรือค่าของตัว k จะลดลงจาก 1/4 เป็น 1/5 ดังภาพต่อไปนี้
(Y) มีผลกระทบต่อความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยมากกว่าปัจจัย k เนื่องจากในระยะสั้นการ เปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงินและโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่าง เชื่องช้ามากดังนั้นค่า k ในระยะสั้นจึงเปลี่ยนแปลงไม่มาก
ความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน (Speculative demand for money)
ความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน (Speculative demand for money) เป็นการถือเงินเพื่อใช้ในการลงทุน เนื่องจากผู้ลงทุนไม่แน่ใจว่าราคาของสินทรัพย์จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรในอนาคต การถือเงินในกรณีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุน
สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งการลงทุนในหลักทรัพย์ (พันธบัตรรัฐบาล) ซึ่งอาจจะทำกำไร (capital gain) หรือขาดทุน (capital loss) ได้ ดังนั้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงมูลค่าหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้นจะเกิด capital gain และในทางตรงกันข้ามสามารถเกิด capital loss ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการลงทุนในหลักทรัพย์จึงถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ
มีสูตรไว้ว่า ความสัมพันธ์ของความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไรหรือการลงทุนกับอัตรา ดอกเบี้ยในตลาดจะแปรผกผันกัน ดังนั้น
- Ls = l (r)
- Ls คือความต้องการถือเงินเพื่อการลงทุน
- r คือ อัตราดอกเบี้ยในตลาด
ดังนั้น ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยยิ่งสูงคนจะยิ่งถือเงินสดน้อยลงกว่าเดิม
ตัวอย่าง
กรณีที่1
สมมุติระดับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 10 ซึ่งทำให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ความโน้มเอียงของอัตราดอกเบี้ยจะต้องลดลง ดังนั้น ทุกคนจึงไม่ต้องการถือเงินสดต่างหันไปถือสินทรัพย์ในรูปของพันธบัตรรัฐบาล
กรณีที่2
สมมุติระดับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 4 ซึ่งทำให้ประชาชนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยคงไม่ต่ำไปกว่านี้ การซื้อพันธบัตรรัฐบาลในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำย่อมมีโอกาสที่จะขาดทุนได้ง่ายถ้าหากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ดังนั้น ประชาชนจะถือเงินสดแทนการซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งเรียกว่า กับดักสภาพคล่อง (liquidity tab) จะเห็นได้ว่าความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไรมีข้อบกพร่องดังนี้
- (1) ไม่ได้พิจารณาถึงอายุการไถ่ถอนของหลักทรัพย์ โดยเฉพาะ หลักทรัพย์ระยะสั้นที่มีสภาพคล่องสูง
- (2) ไม่ได้พิจารณาถึงคุณสมบัติของสินค้าที่สามารถเลื่อนการใช้ได้
- (3) มีข้อสมมุติที่ว่าหน่วยเศรษฐกิจจะคาดคะเนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ในอนาคตด้วยความมั่นใจ และจะต้องเลือกถือครองระหว่างสินทรัพย์กับเงินสด ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น
ในทางปฏิบัติ ทฤษฎีความต้องการถือเงินของเคนส์มีผลต่อการวางแผนการลงทุนของผู้ประกอบการ และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ซึ่งส่งผลต่อสถานการณ์การเงินและเศรษฐกิจในระยะยาว การเข้าใจทฤษฎีนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนในการวางแผนการลงทุนและการเงินในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายการเงินของเคนส์
นโยบายการเงินของเคนส์ (Keynesian monetary policy) จะเน้นการใช้นโยบายการเงินโดยรัฐบาลเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่มีการปรับตัวหรือวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น โดยการเพิ่มการลงทุนและการเงินของเมืองจะช่วยสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจและลดอัตราผู้ว่างงาน นโยบายการเงินของเคนส์นั้นจะเน้นการเพิ่มจำนวนเงินในตลาดเพื่อสร้างความสมดุลในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้ง เคนส์ยังเสนอให้รัฐบาลใช้เงินรัฐบาลในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างทางหลวง ระบบโทรศัพท์ และโครงการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างงานและเพิ่มผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของนโยบายการเงินของเคนส์ คือ การสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่มีการปรับตัวหรือวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
อุปสงค์การเงินของเคนส์
อุปสงค์การเงินของเคนส์ (Keynesian objectives of monetary policy) เป็นเป้าหมายหลักในการใช้นโยบายการเงินของรัฐบาล โดยเน้นเป้าหมายหลักที่สุด คือ การสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
อุปสงค์การเงินของเคนส์ได้รวมไว้ดังนี้
- การลดอัตราการว่างงาน (Full employment): เคนส์เชื่อว่าการลดอัตราการว่างงานจะเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราการว่างงานสูงมักเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่ไม่เจริญเติบโต การใช้นโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจจะต้องเน้นการเพิ่มอัตราการลงทุนและการสร้างงาน
- การควบคุมอัตราเงินเบี้ย (Interest rate stability): การควบคุมอัตราเงินเบี้ยเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการลงทุนและการเงินของเมือง นโยบายการเงินของเคนส์จะเน้นการควบคุมอัตราเงินเบี้ยให้เหมาะสมเพื่อสร้างความเสถียรภาพในตลาดการเงินและเพิ่มการลงทุนของเมือง
- ความมั่นคงในระบบการเงิน (Financial stability): การควบคุมความมั่นคงในระบบการเงินเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและนักลงทุน
- การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate stability): เคนส์เชื่อว่าการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มการค้าขายของเมืองในตลาดโลก นโยบายการเงินของเคนส์จะเน้นการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความเสถียรในตลาดการค้าของเมือง
- การสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure investment): เคนส์เชื่อว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างงานและเพิ่มผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ นโยบายการเงินของเคนส์จะเน้นการใช้เงินรัฐบาลในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างทางหลวง ระบบโทรศัพท์ และโครงการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา
อุปทานการเงินของเคนส์
- การควบคุมอัตราดอกเบี้ย (Interest rate control): เป็นการควบคุมอัตราดอกเบี้ยที่ให้กับธนาคารเพื่อส่งเสริมการลงทุนของบริษัทและผู้ประกอบการ และเพิ่มอัตราการค้าขายในตลาดภายในและต่างประเทศ
- การซื้อขายหลักทรัพย์ (Securities transactions): เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ของรัฐบาลเพื่อเพิ่มจำนวนเงินในตลาดและลดอัตราดอกเบี้ย
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure investment): เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตและลดอัตราผู้ว่างงาน โดยใช้เงินรัฐบาลในการสนับสนุนโครงการเหล่านี้
- การเพิ่มอัตราการลงทุน (Investment incentives): เป็นการสร้างสิ่งก่อสร้างหรือซื้อสินค้าเพื่อเพิ่มอัตราการลงทุนของบริษัทและผู้ประกอบการ
- การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate control): เป็นการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเพิ่มอัตราการค้าขายในตลาดภายใน
- การเพิ่มเงินในตลาด (Increase in money supply): เป็นการเพิ่มจำนวนเงินในตลาดเพื่อส่งเสริมการเติบโตและเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาด
- การลดอัตราภาษี (Tax reductions): เป็นการลดอัตราภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนและการเงินของบริษัทและผู้ประกอบการ
- การเพิ่มเงินลงทุนของรัฐบาล (Government investment): เป็นการเพิ่มเงินลงทุนของรัฐบาลในโครงการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ
- การเพิ่มสิ่งแวดล้อมการเงิน (Financial environment): เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมการเงินที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการลงทุนและการเงินของบริษัทและผู้ประกอบการ
- การเพิ่มอัตราการสั่งซื้อ (Increase in orders): เป็นการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อเพิ่มอัตราการผลิตและเติบโตของเศรษฐกิจ
เรามีประสบการณ์ด้านเว็บไซต์มายาวนาน ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เป็นการให้ข้อมูลต่อผู้อ่าน เราจะสามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางของชีวิตเราได้อย่างไร ผมจึงสร้าง halojepang.com ขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้อ่านที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ ได้ฟรี
การทำงานออนไลน์และมีรายได้นั้นมีจริง ยิ่งโลกปัจจุบันแล้ว มีช่องทางมากมาย ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ ขอแค่ตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จได้