มีเงิน 500000 ลงทุนอะไรดี

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะชอบเก็บเงินเพื่อเอามาลงทุน แต่บางคนไม่รู้ว่า มีเงินแล้วจะเอาไปลงทุนกับอะไรดี ซึ่งในยุคนี้ก็มีรูปแบบการลงทุนมากมาย เช่น หุ้น หลักทรัพย์เช่าซื้อ กองทุนรวม หนี้การลงทุน อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในเศรษฐกิจอนาคต เป็นตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับผู้ลงทุน

ในบทความนี้ จึงนำเรื่อง มีเงิน 500000 ลงทุนอะไรดี 2566 งบลงทุนธุรกิจที่ทำกำไร เข้ามาก่อนได้เปรียบ มาให้ผู้ที่ไม่รู้ว่ามีเงินแล้วจะไปลงทุนอะไรดีได้เรียนรู้และศึกษาจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลยจ้า

Contents

การลงทุนคืออะไร

1 การลงทุนคืออะไร

การลงทุน (Investment) คือการใช้เงินของคุณในการซื้อสินทรัพย์ใดๆ เพื่อประมาณการผลตอบแทนในอนาคต ซึ่งอาจเป็นแหล่งการปรับปรุงความมั่งคั่ง และการเพิ่มสินเชื่อในการลงทุน คุณควรพิจารณาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ รวมถึงการวางแผนประสบการณ์การลงทุน เป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวัง

  • ถ้าต้องการลงทุนให้เริ่มต้นที่ การออม ก่อน ซึ่งเป็นการสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ตนเองในการทยอยเก็บเงินทีละเล็กละน้อยให้มีจำนวนพอกพูนขึ้น
  • เมื่อเวลาผ่านไปในรูปแบบที่มีความปลอดภัย มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อรักษาเงินต้นไว้ โดยผลตอบแทนจากเงินออมอาจไม่ได้สูงมากนัก
  • เมื่อสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง จึงค่อยเริ่มลงทุน ด้วยการแบ่งเงินก้อนส่วนหนึ่งไปลงทุนในผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน เช่น หุ้น  ตราสารหนี้ กองทุนรวม   Exchange Traded Fund หรือ ETF  สัญญาซื้อขายล่วงหน้าและทางเลือกในการลงทุนอื่น ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้นกว่าการออม
  • แต่มีข้อควรคำนึงคือ ผู้ลงทุนต้องสามารถยอมรับความเสี่ยงประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนนั้น ๆ ได้ เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้น

มีเงิน 500000 ลงทุนอะไรดี

2 มีเงิน 500000 ลงทุนอะไรดี

เมื่อพอเก็บเงินได้สักก้อนหนึ่งหลายคนคงคิดว่าจะนำเงินก้อนนั้นมาต่อยอด ให้มีเงินเพิ่มพูนขึ้นได้ยังไง แล้วมีเงิน 500,000 ลงทุนอะไรดีใช้ยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดีในปี 2566 นี้ เราไปดูพร้อมๆกันเลย

ลงทุนเงิน กับการฝากประจำ

  • วิธีนี้เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย บัญชีเงินฝากประจำ หรือ Fixed deposit account​​
  • ช่วยให้ผู้ฝาก ได้รับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป แต่จะมีเงื่อนไขในการฝากเงินที่มากกว่า โดยมักกำหนดระยะเวลาการฝากถอนที่แน่นอน มีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 2.4% ต่อปี แล้วแต่เงื่อนไขการฝาก

ระยะเวลาการฝากถอน

  1. ระยะเวลา 3 เดือน
  2. ระยะเวลา 6 เดือน
  3. ระยะเวลา 1 ปี หรือ 2 ปี
  4. โดยปกติแล้วหากมีระยะเวลาในการฝากที่นาน ผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าฝากประจำในระยะสั้นๆ
  5. กรณีถอนเงินก่อนกำหนด มักมีเงื่อนไขปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเหลือเท่าการฝากออมทรัพย์ทั่วไป

ลงทุนเงิน กับการทำธุรกิจส่วนตัว

  • ถ้าคุณมีเงินสักก้อนสำหรับการลงทุนเพื่อเปิดธุรกิจส่วนตัว บอกเลยว่า 500,000 บาท สามารถใช้เริ่มต้นอะไรๆ ได้สบายเลยทีเดียวเชียว
  • ซึ่งผลตอบแทนของการทำธุรกิจ ก็จะมาจากรายได้ หักด้วยค่าใช้จ่ายของกิจการนั่นเอง
  • แม้จะมีทุนอยู่เยอะ การเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงิน 500,000 บาท ก็ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะการลงทุนในธุรกิจถือว่ามีความเสี่ยงอยู่มาก

ธุรกิจส่วนตัวมีอะไรบ้าง

  1. ขายของออนไลน์
  2. ขายอาหารและเครื่องดื่ม
  3. ขายอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
  4. ลงทุนกับธุรกิจ แฟรนไชส์
  5. ปัจจุบันการเริ่มต้นธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก คุณอาจจะใช้เครื่องมือทางออนไลน์ ที่ไม่ต้องเสียเงินอย่างการขายของ หรือแนะนำสินค้าและบริการของคุณผ่าน Facebook หรือ Instagram
  6. เริ่มต้นอาจจะเริ่มลงทุนเพียงหลักหมื่น แล้วค่อยๆ ใช้เงินทุนที่เหลือในการหมุนเวียนในธุรกิจไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการค่อยๆ ประเมินความเสี่ยง และความเป็นไปได้ของธุรกิจ

ลงทุนเงินด้วยการเล่นหุ้น

  • สำหรับใครที่ไม่อยากลงมือทำธุรกิจด้วยตัวเอง การลงทุนในตลาดหุ้น ก็เป็นอีกทางเลือกที่หลายคนสนใจ
  • การเล่นหุ้น หรือการลงทุนในหุ้น คือ การซื้อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น หลัก ๆ มี 2 ประการ

  1. Capital Gain หรือกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เราซื้อมากับราคาที่เราขายไป
  2. เงินปันผล (Dividend) หรือเงินส่วนแบ่งผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปีที่นำมาจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้น
  3. สำหรับการลงทุนในหุ้น นักลงทุนจะต้องเปิดบัญชีหุ้นกับโบรกเกอร์ หรือที่เรียกกันว่า เปิดพอร์ต กันก่อนนั่นเอง
  4. การลงทุนในหุ้น ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนไม่แน่นอน และไม่สม่ำเสมอ ใครที่สนใจลงทุนด้วยเงินทั้ง 500,000 ที่มี อาจต้องทำการศึกษา และจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนของตนเองให้ดี

ลงทุนเงินในกองทุนรวม

  • กองทุนรวม ถือเป็นทางเลือกของคนที่ยังไม่มั่นใจในการลงทุนของตัวเอง กองทุนรวมก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี
  • แม้อาจจะไม่ได้มีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดเท่าการลงทุนในหุ้นด้วยตัวเอง แต่ก็สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่า เพราะมีการกระจายการลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • โดยมีกองทุนรวมที่หลากหลาย ทั้งกองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ ที่จะมีผู้บริการกองทุนที่มีความรู้ ความเข้าใจในการลงทุนของ บลจ. ในการนำเงินทุนของเราไปกระจายลงทุน และจ่ายคืนผลตอบแทนให้ตามเงื่อนไขที่กองทุนแต่ละกองระบุไว้นั่นเอง

ประเภทของกองทุนรวม

  1. กองทุนรวมตลาดเงิน
  2. กองทุนรวมตราสารหนี้
  3. กองทุนรวมผสม
  4. กองทุนรวมตราสารทุน
  5. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว
  6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ

ลงทุนในตลาดสินเชื่อหุ้นค้ำประกันออนไลน์

  • ทางเลือกการลงทุน ที่ช่วยคุณกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ตลาดสินเชื่อหุ้นค้ำประกันออนไลน์ Moneywecan เป็นทางเลือกการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย หรือนิติบุคคล ที่ต้องการลงทุนในรูปแบบ Debt Crowfunding
  • โดยระดมทุนให้กับบุคคลทั่วไปที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเสนอขอกู้เงินบนแพลทฟอร์ม ตลาดสินเชื่อออนไลน์ หลายร้อยราย ที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
  • ยังมีระบบการกระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ ช่วยจำกัดความเสี่ยงการลงทุนของนักลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

แน่นอนว่าการลงทุนทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะมีเงินเริ่มต้นลงทุน 100,00 บาท หรือ 500,000 บาท หากไม่มีการวางแผนการลงทุน และบริหารความเสี่ยงในการลงทุนของตัวเองให้ดี จะเงินมาก หรือน้อย ก็อาจหายวับไปในพริบตาได้ ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนต้องคำนึงถึง ก็คือ การกระจายความเสี่ยง และการรักษาเงินต้นไว้

ในบทความนี้อาจจะมีการลงทุนที่น่าสนใจ และทางเลือกในการลงทุนให้กับนักลงทุนหลายๆท่าน เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น และต้องมีการควบคุมความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย

ลงทุนอะไรดี ความเสี่ยงน้อยและเงินต้นยังอยู่ครบ

3 ลงทุนอะไรดี ความเสี่ยงน้อย

บางคนที่อยากลงทุนแต่ไม่อยากให้เสียเงินต้นที่นำไปลงทุนไว้ และไม่รู้ว่าจะลงทุนกับอะไรดีเพื่อให้เงินต้นของตัวเองยังอยู่ เราไปดูพร้อมกันในตารางด้านล่างนี้เลย

ตารางแสดงสินทรัพย์ทางการเงินที่ลงทุนแล้วเงินต้นยังอยู่

ลงทุนกับสินทรัพย์ทางการเงินที่เงินต้นยังอยู่

ประเภทการลงทุน ความเสี่ยง ผลตอบแทน
พันธบัตรรัฐบาล ต่ำมาก ตัวอย่างเช่น รุ่นออมไปด้วยกัน อายุ 5 ปี เฉลี่ย 2.1 % ต่อปี อายุ 10 ปี เฉลี่ย 3% ต่อปี
บัญชีเงินฝาก ต่ำ ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เงินฝากประจำ 12 เดือน = 0.4 – 1.0 % เงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน = 1.1 – 2%
สลากออมทรัพย์ ต่ำ ได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลโดยตรง ได้รับดอกเบี้ยหากฝากครบตามกำหนดเวลา มีสิทธิถูกรางวัลทุกเดือน
หุ้นกู้ ปานกลาง มีความเสี่ยงสูญเสียเงินต้นหากบริษัทล้มละลาย ขึ้นอยู่กับการจัดลำดับความเชื่อถือ
กองทุน ต่ำถึงสูงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนเลือกลงทุน ขึ้นอยู่กับประเภทหลักทรัพย์ที่กองนำไปลงทุน
หุ้นบริษัทขนาดใหญ่เน้นปันผล สูง ต้องมีความรู้ความเข้าใจในกิจการที่กำลังจะลงทุน ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและสภาวะตลาด

การลงทุนข้างต้นจะต้องลงทุนระยะยาวเท่านั้นถึงจะรักษาเงินต้นได้

  • ผลตอบแทนในตารางเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของทางผู้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
  • การลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภทมีความเสี่ยงแนะนำให้ศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

ปัจจัยที่ใช้ตัดสินใจว่าจะเลือกลงทุนแบบไหน

เวลาที่ใช้ในการลงทุน

  • สำหรับการลงทุนด้วยตัวเองเราอาจจะต้องการเวลาในการศึกษาและติดตามการลงทุนค่อนข้างมากในระดับหนึ่ง และการลงทุนเองถ้าทำได้ดีผลตอบแทนอาจจะมากกว่าการให้มืออาชีพบริหารให้ แต่ก็มีโอกาสผิดพลาดได้มากกว่าเช่นกัน
  • สำหรับคนที่ต้องทำงานประจำหรือว่าต้องทำธุรกิจที่อาจจะไม่ได้มีเวลาศึกษาการลงทุนด้วยตัวเองมากอาจจะใช้บริการของมืออาชีพ

บริการของมืออาชีพ 

เช่น

  1. บลจ. ย่อมาจาก “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน”
  2. บลน. ย่อมาจาก “บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน”

ความรู้และความสนใจในการลงทุนของเรา

  • สำหรับการลงทุนด้วยตัวเองเราอาจจะต้องมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องหลักการลงทุนแบบต่าง ๆ และเลือกว่าแบบไหนที่ตรงกับเราและเลือกลงทุนตามแบบนั้น
  • หากเราไม่ได้ชอบเรื่องการลงทุน แต่ว่าเห็นว่าการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เราอาจจะให้มืออาชีพบริหารให้ก็ได้

งบลงทุนธุรกิจที่ทำกำไรมีอะไรบ้าง

งบลงทุนธุรกิจที่มีกำไร อาจประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ รายได้จากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และรายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในเวลาเดียวกัน และคำนวณด้วยการลบรายจ่ายออกจากรายได้ และใช้เป็นตัวบ่งชี้ในการวิเคราะห์การดำเนินธุรกิจและการวางแผนในอนาคต ยกตัวอย่างธุรกิจที่ทำกำไรในปัจจุบันมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม

ปัจจัยสนับสนุน 

  • การเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ความต้องการใช้บริการด้านการแพทย์เพิ่มสูงขึ้น
  • การดูแลเรื่องของความสวยงาม และผิวพรรณของคนในปัจจุบันมีมากขึ้น
  • การกลับมาให้บริการเต็มรูปแบบของธุรกิจ Health & Wellness
  • ไทยมีสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI มากถึง 59 แห่ง ซึ่งเมื่อรวมกับค่าครองชีพและค่ารักษาพยาบาลที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน
  • จากนโยบายการเปิดประเทศคาดว่าท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) จะเริ่มทยอยกลับมาเข้าใช้บริการได้

ปัจจัยเสี่ยง 

  • สถานการณ์ด้านรายได้ที่ลดลงมากเมื่อเทียบกับหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อลดลง
  • กำลังซื้อในประเทศที่ถูกกดดันมากขึ้นจากปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกระทบต่อการตัดสินใจใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้บริโภค
  • ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงมาตรการควบคุมราคายา เวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ ที่ยังคงเป็นข้อจำกัดส่งผลให้ธุรกิจเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ได้

ธุรกิจ E-Commerce 

ปัจจัยสนับสนุน

  • ผู้บริโภคมีพฤติกรรมปรับลดการใช้จ่ายผ่านหน้าร้าน เช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างซุปเปอร์ต่าง ๆ มาเป็นการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชม.มากขึ้น และมีระบบการชำระเงินที่หลากหลาย
  • ต้นทุนในการทำการซื้อขายผ่านออนไลน์มีต้นทุนที่ต่ำ ทำให้ระดับราคาสินค้าต่ำกว่าหน้าร้าน
  • ผู้ประกอบการหันมาทำธุรกิจ e-Commerce มากขึ้นทำให้ผู้บริโภคมีแนวทางการเลือกสินค้าได้ และมีรูปแบบการส่งเสริมการขายที่หลากหลาย
  • การขยายตัวของชุมชนเมืองและการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง หนุนความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค
  • การรีวิวสินค้าของบุคคล (ดารา, Youtuber และ Influencer) ที่มีชื่อเสียงและลูกค้าเคยใช้สินค้า

ปัจจัยเสี่ยง

  • ภาวะเงินเฟ้อส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากกว่าเดิม
  • ปัญหาการหลอกขายสินค้า ไม่แสดงราคากำกับ และสินค้าไม่ได้คุณภาพ
  • การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทั้งจากคู่แข่งเดิมและคู่แข่งรายใหม่ และกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว
  • การแข่งขันทางด้านราคา ทำให้กำไรของธุรกิจค่อนข้างต่ำสวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันและภาวะเงินเฟ้อที่ขยายตัวสูงขึ้นจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน
  • ระบบโลจิสติกส์หรือการจัดส่งสินค้าที่อาจล่าช้าและมีต้นทุนที่สูงขึ้น

ธุรกิจ Social Media และ Online Entertainment

ปัจจัยสนับสนุน

  • ประชาชนรับชมภาพยนตร์และรายการต่างๆ ผ่าน Streaming Platform มากขึ้น
  • การเพิ่มขึ้นของช่องทางในการสื่อสาร โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงได้ตลอด 24 ชม.
  • การเพิ่มขึ้นของการโปรโมทโฆษณาผ่าน Social Influencer อาทิเช่น Net-Idol หรือ Youtuber
  • ธุรกิจขนาดเล็ก-ใหญ่ หันมาโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
  • พฤติกรรมการรับชมสื่อผ่าน Application เพิ่มขึ้น
  • พฤติกรรมการเล่น Social Media เพิ่มขึ้น
  • กระแสเทคโนโลยีเมตาเวิร์สที่เริ่มเข้ามามีบทบาทกับวงการสื่อและสิ่งบันเทิง

ปัจจัยเสี่ยง 

  • ผู้บริโภคบางส่วนไม่สามารถเข้าถึงสื่อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เนื่องจากใช้อุปกรณ์ไม่เป็น
  • การแข่งขันที่รุนแรงในช่องทีวีดิจิทัล
  • ข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบอินเตอร์ของผู้บริโภคบางส่วน
  • การเติบโตของรายจ่ายด้านโฆษณา อ้างอิงเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังฟื้นตัว
  • การเปลี่ยนแปลงของการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์
  • โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี และโครงข่ายต่างๆ ที่ยังไม่ครอบคลุม

ธุรกิจด้าน Fintech และการชำระเงินฝากระบบเทคโนโลยี

ปัจจัยสนับสนุน

  • มีความหลากหลายทางธุรกรรมการเงิน เช่น การชำระค่าสินค้า การใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตและเครดิต การให้สินเชื่อผ่านระบบโมบายแบงก์กิ้งสำหรับการช๊อปปิ้งออนไลน์ การให้กู้ยืมระหว่างกัน หรือจะเป็นด้านการลงทุน
  • นโยบายการละเว้นค่าธรรมเนียมทางการเงิน การโอน การชำระเงิน
  • การพัฒนาแหล่งการชำระเงินตามร้านค้าดั้งเดิม ร้านค้าออนไลน์ ผู้ประกอบการที่มีการชาระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น
  • พฤติกรรมการชำระเงินด้วยอิเล็กทรอนิกส์มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
  • รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการช่วยเหลือ ผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง“ และนโยบายกระตุ้นการบริโภคต่างๆ

ปัจจัยเสี่ยง 

  • ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อความปลอดภัยในการให้บริการผ่านแฟลตฟอร์มของธนาคาร
  • ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Hacker) ที่เพิ่มสูงขึ้นตามพัฒนาการเทคโนโลยี
  • การหลอกลวงนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่มิชอบ

ธุรกิจงานคอนเสิร์ต มหกรรมจัดแสดงสินค้า งาน Event

ปัจจัยสนับสนุน

  • หลังการเปิดประเทศ ทำให้งานคอนเสิร์ตมหกรรมจัดแสดงสินค้า, Event สินค้า และช่วยฟื้นฟูธุรกิจ MICE กระเตื้องขึ้น โดยได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคัก
  • การเพิ่มขึ้นของช่องทางในการสื่อสาร โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ที่สามารถรับชมได้ตลอด 24 ชม.
  • ภาครัฐสนับสนุนการจัดนิทรรศการและงานแสดงสินค้าสามารถดึงเม็ดเงินจากนักธุรกิจต่างชาติและเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

ปัจจัยเสี่ยง

  • การจัดประชุมแบบออนไลน์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายหน่วยงานหลายธุรกิจ งานนิทรรศการ รวมถึงงานแสดงสินค้าหันมาใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง
  • ต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น
  • ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ยังคงมีความเสี่ยงในหลายด้าน

ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจ Youtuber การรีวิวสินค้า และ Influencer

ปัจจัยสนับสนุน

  • พฤติกรรมในการติดตามสื่อของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป
  • การเพิ่มขึ้นของช่องทางในการสื่อสาร โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ที่สามารถรับชมได้ตลอด 24 ชม.
  • การเพิ่มขึ้นของการโปรโมทโฆษณาผ่าน Social Influencer เช่น Net-Idol หรือ Youtuber
  • กลยุทธ์การเพิ่มยอดขายของธุรกิจผ่าน Application มีเพิ่มขึ้น

ปัจจัยเสี่ยง

  • กฎระเบียบ กฎหมายต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ
  • เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือเป็นโทษต่อผู้บริโภค ธุรกิจอาจถึงขั้นต้องปิดกิจการ
  • ธุรกิจมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเรื่องราคาหรือการให้โปรโมชั่น

ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างของการทำธุรกิจและได้กำไรในปัจจุบันที่สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายขึ้น

ลงทุนอะไรดี เข้ามาก่อนได้เปรียบ Pantip

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะชอบสอบถามความคิดเห็นเรื่องๆจากผู้อื่นโดยการตั้งกระทู้คำถามใน เว็บไซต์ Pantip เพื่อประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ในบทความนี้เราจึงนำกระทู้ที่ ว่าลงทุนอะไรดีเข้ามาก่อนได้เปรียบ มาให้ดูความคิดเห็นกัน แต่จริงๆแล้วใน Pantip ยังไม่มีท่านได้มาตั้งกระทู้นี้ เราจึงนำกระทู้การตั้งเป้าการลงทุนในปี 2566 มาให้ได้ศึกษาความเห็นกัน ไปดูกันเลย

กระทู้ Pantip

4 กระทู้ Pantip

Cr : ขอบคุณภาพประกอบ

หัวข้อกระทู้

  • ปีใหม่2566 ตั้งเป้าการลงทุนยังไงกันบ้างครับ

รายละเอียดกระทู้

  • สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆทุกท่าน เปิดปีมาน่าจะมีการตั้งเป้าการลงทุนกัน เช่น ปีนี้น่าจะ +20%, 50%  บางท่านพอร์ตใหญ่อาจตั้งเพียง 10% ก็สบายแล้ว  บางท่านขอแค่ชนะตลาดก็สบายแล้ว บางท่านตั้งเป็นตัวเงิน passive income เดือนละ 50,000 แล้วจะเลิกเป็นมนุษย์เงินเดือนเป็นต้น แล้วเพื่อนๆตั้งเป้าการลงทุนกันยังไงบ้างครับในปีนี้ แล้วมีการปรับวิธีการลงทุนยังไงบ้างครับ

ความคิดเห็นที่ 1

  • สำหรับผมเป้าหมายปันผลเฉลี่ยจาก 25,000 บาท/เดือน เป็น 30,000 บาท/เดือน
    ต้องหาหุ้นหวีปันผลดีๆ เข้าพอร์ทสัก 3 ตัว

ความคิดเห็นที่ 2

  • ขอให้ได้เงินปันผลรวม  > 1 ล้านบาท
    น้อยกว่าปี 2565  ประมาณ 7  แสนบาท
    * ประมาณการจาก หุ้นเหล็ก จะไม่จ่ายเงินปันผล
    และได้ขายหุ้น msc  ทำกำไร ไป 650,000 หุ้น  (ยังไม่ได้ซื้อหุ้นตัวไหนแทน เพื่อเพิ่มเงินปันผล)

ความคิดเห็นที่ 3

  • ขอพอร์ทโตขึ้น​ 10%

ความคิดเห็นที่ 4

  • ทุกปีก็ตั้งไว้เหมือนเดิมครับคือ
    -ตั้งใจเก็บเงินขั้นต่ำ20%จากรายได้มาลงทุน โดยใช้วิธีเติมเงินเข้าพอร์ตไว้เลย แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นทันที (ส่วนตัวชอบวิธีนี้เพราะเวลาเติมเงินเข้าพอร์ตแล้วจะไม่โอนกลับเข้าบัญชี ทำให้ป้องกันการใช้เงินไปเรื่อยได้ดีครับ)
    -ลงทุนอย่างระมัดระวัง รอบคอบ โดยยึดหลักว่ากฎข้อแรกคืออย่าขาดทุน กฎข้อสองคือย่าลืมกฎข้อแรก
    -หาหุ้นที่ดี ในราคาที่เหมาะสมโดยใช้การประเมินมูลค่าอย่างอนุรักษ์นิยม และรอเวลาที่นายตลาดเหวี่ยงราคานั้นมาให้ แล้วเข้าซื้อ
    -มีจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหวไปกับตลาดที่ผันผวน
    ในส่วนของเงินปันผลไม่ได้ตั้งไว้ว่าต้องได้กี่% คาดหวังให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี มีกำไรที่มีคุณภาพ จะจ่ายมากน้อยไม่สำคัญครับ
    ส่วนของcapital gainก็เอาแค่ให้พอร์ตรวมบวก15-30%ก็โอเคแล้วครับ

ความคิดเห็นที่ 5

  • ซื้อหุ้นรับปันผลไว้ลดหย่อนภาษีได้อีกทางหนึ่ง
    ทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นไว้บ้างช่วงหุ้นขึ้น
    นำกำไรบางส่วนบริจาคไว้ลดหย่อนภาษี
    นำดอกเบี้ยเงินฝากบางส่วนไปทำบุญที่วัดตามโอกาสต่างๆ
    พยายามใช้จ่ายโดยการสแกนจ่ายหรือจ่ายผ่านบัตรรับแต้มไว้บริจาคออนไลน์
    นำเงินจากภาษีคืนไปซื้อหุ้น(กลับบรรทัดแรก)

และนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างข้อกระทู้กระทู้หนึ่งที่ส่วนใหญ่แล้วความคิดเห็นในเรื่องการลงทุนในปี 2566 นั้นจะมุ่งเน้นไปในทางการลงทุนกับ หุ้น และกองทุน ซึ่งนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างความเห็นบางส่วนเท่านั้นหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับการตัดสินใจลงทุนในปีนี้แน่นอน

รูปแบบในการลงทุนมีอะไรบ้าง

5 รูปแบบในการลงทุนมีอะไรบ้าง

การลงทุนเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ แต่ก็ยังมีนักลงทุนมือใหม่หลายคนยังไม่เข้าใจ กองทุนที่สนใจหรือกำลังลงทุนอยู่มีรูปแบบการลงทุนอย่างไร ไปดูพร้อมกันเลย

  1. การลงทุนเชิงรุก (Active)

  • การลงทุนเชิงรุกมีหลักการง่ายๆ คือทำให้ได้เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด สร้างความได้เปรียบเหนือความผันผวนที่เกิดในระยะเวลาสั้น
  • เป็นวิธีที่ต้องใช้การวิเคราะห์และความเชี่ยวชาญเพื่อปรับเปลี่ยน หุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ใดๆ ก็ได้ผลตอบแทนสูงในระยะสั้นและระยะยาวตามที่ตั้งเป้าไว้
  • สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนเชิงรุกคือความรวดเร็ว ความมั่นใจ เพราะต้องรู้ว่าเวลาไหนควรซื้อ เวลาไหนควรขาย สามารถทำการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ ถูกต้อง รวมถึงถึงไม่เสียกำลังใจ

จุดเด่น

  • การลงทุนรูปแบบนี้ให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ในพอร์ตได้ทันที ไม่ต้องใช้เวลาวัดผลนาน และการลงทุนแบบนี้สามารถหลีกเลี่ยงการเสียเงินทุนได้สะดวกว่า

ความท้าทาย

  • การลงทุนเชิงรุกจะมีความเสี่ยงที่สูง เพราะถึงแม้จะมีการหาข้อมูล วิเคราะห์ และตัดสินใจได้ตรงตามเป้าหมายแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำ 100% อาจทำให้สูญเสียเงินต้นได้
  1. การลงทุนเชิงรับ (Passive)

  • หลักการการลงทุนเชิงรับคือการลงทุนระยะยาว จำกัดปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ภายในพอร์ต
  • ซึ่งรูปแบบการลงทุนเชิงรับเหมาะกับการลงทุนด้วยต้นทุนจำกัดให้ได้ประสิทธิภาพ โดยเน้นค้นคว้าข้อมูล ดูความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ต้องการ จากนั้นก็ซื้อแล้วถือยาว
  • หลีกเลี่ยงการปรับเปลี่ยนตามข่าวสารหรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ
  • สิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนเชิงรับคือ ควรหลีกเลี่ยงการปรับเปลี่ยนสินทรัพย์ในพอร์ต แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของตลาดจะส่งผลให้อยากทำการซื้อขายเพิ่มก็ตาม

จุดเด่น

  • มีค่าใช้จ่ายน้อย การไม่ซื้อขายสินทรัพย์บ่อยๆ ก็ส่งผลดีตรงที่ มีค่าธรรมเนียมน้อย แม้ในปัจจุบันจะไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมจริงจังก็ตาม

ความท้าทาย

  • ให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก ซึ่งก็เป็นไปตามสภาพตลาด อาจจะได้มากกว่าในบางช่วงจังหวะ แต่โดยมากแล้วจะไม่ได้สูงจนเป็นนัยสำคัญ
  1. การลงทุนเน้นเติบโต (Growth Investment)

  • หลักของการลงทุนแบบเน้นเติบโตคือ ผลกำไร รายได้ หรือศักยภาพที่ราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต มากกว่าการเลือกสินทรัพย์ที่ราคาถูก
  • โดยมากการลงทุนเน้นเติบโตจะเน้นไปที่หุ้นหรือสินทรัพย์ที่มี P/E และ P/B สูง
  • สิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนเน้นเติบโตคือ บริษัทที่มีโอกาสเติบโตชัดเจนด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่จัดได้ว่าเป็นนวัตกรรม เป็นสิ่งใหม่ โดยเฉพาะบริษัทสายเทคโนโลยีต่างๆ ที่เติบโตรวดเร็ว

จุดเด่น

  • การลงทุนเน้นเติบโตสิ่งที่จะได้คือ มีโอกาสสร้างผลกำไรหรือศักยภาพที่ราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต มากกว่าสินทรัพย์สายเน้นคุณค่า
  • หากเลือกสินทรัพย์ถูกตัวก็อาจจะทำกำไรได้ในช่วงเวลาที่สั้นมาก เช่นเป็นช่วงที่บริษัทที่ลงทุน คิดค้นผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่ยกระดับเหนือคู่แข่งได้

ความท้าทาย

  • มักจะไม่ได้รับเงินปันผลจากธุรกิจที่กำลังเติบโต เพราะบริษัทมักจะนำเงินได้ไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อต่อยอด หรือขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งกว่าเดิม
  1. การลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investment)

  • สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่าต้องมีความเข้าใจและสามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ที่จะลงทุนได้ และต้องเป็นนักลงทุนที่สามารถลงทุนได้ในระยะยาว และอดทนรอการเติบโตของสินทรัพย์ได้
  • สิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนเน้นคุณค่า หรือ VI คือ การเลือกหาหุ้นบริษัทที่ มีพื้นฐานกิจการดีพร้อมมีคนซื้อสินค้าหรือบริการของบริษัท เติบโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ ราคาหุ้นไม่แพง

จุดเด่น

  • สินทรัพย์หรือหุ้นที่เน้นคุณค่าจะมีการจ่ายปันผลที่ต่อเนื่อง และสอดคล้องกับการเติบโตของกิจการ การถือสินทรัพย์ยิ่งยาวก็จะยิ่งเห็นกราฟที่ค่อยไต่ขึ้นสูง

ความท้าทาย

  • การเลือกสินทรัพย์ต้องใช้ความเข้าใจสูง เนื่องจากบริษัทใหญ่บางแห่งแม้จะมีมูลค่าบริษัทสูง แต่ก็มาถึงทางตัน ไม่สามารถขยายกิจการเพิ่มได้
  • การลงทุนแนวนี้ต้องใช้เวลานาน อาจไม่เหมาะกับคนที่ใจยังไม่นิ่งพอ

คิดจะลงทุน ต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง

การรู้จักสินทรัพย์การลงทุนประเภทต่างๆ ว่ามีความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นเช่นไร ตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของเราหรือไม่ รวมไปถึงมีความรู้ ในภาวะเศรษฐกิจ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของเราได้ ก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุน จะต้องรู้เรื่องอะไรบ้างไปดูกันเลย

  1. เป้าหมายการลงทุน

  • เราต้องรู้ว่า เป้าหมายในการลงทุนของเราคืออะไร เช่น รักษาเงินต้นให้ปลอดภัย เพิ่มมูลค่าของเงินอย่างน้อยให้ชนะเงินเฟ้อ เพื่อรักษาอำนาจซื้อ หรือเพื่อให้เงินงอกเงยเติบโต
  • เพื่อนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อการศึกษาของบุตร เพื่อการเกษียณอายุ เป็นต้น
  1. อัตราผลตอบแทนคาดหวังที่ต้องการ

  • ในการบรรลุเป้าหมายการลงทุนนั้นๆ เป็นเท่าไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า เรามีเงินลงทุนเบื้องต้นอยู่เท่าใด มีระยะเวลาการลงทุนนานหรือไม่ และเรามีเงินที่จะสามารถออมเพิ่มเพื่อนำมาลงทุนเพิ่มได้หรือไม่
  1. ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง และความยินดีในการรับความเสี่ยง

  • ซึ่งสองสิ่งนี้มีความแตกต่างกัน โดยปัจจัยที่กำหนดความสามารถในการรับความเสี่ยง เช่น อายุ  รายได้ และระยะเวลาการลงทุน
  • ในขณะที่ความเต็มใจในการรับความเสี่ยง คือ ทัศนคติ ความชอบหรือความสนใจในสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภท
  1. รู้จักและเข้าใจในสินทรัพย์ที่จะลงทุน

  • เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองสนใจในสินทรัพย์ลงทุนประเภทใด ควรถามตัวเองก่อนลงทุนว่า มีความเข้าใจในสินทรัพย์นั้นมากน้อยเพียงใด ทั้งผลตอบแทน ความเสี่ยง วิธีการซื้อขาย
  • หากยังไม่รู้หรือไม่แน่ใจ ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ลงทุนประเภทนั้นๆ ให้ดีเสียก่อน

ทำไมความเสี่ยงในการลงทุนจึงสำคัญ

6 ทำไมความเสี่ยงในการลงทุนจึงสำคัญ

ความเสี่ยงในการลงทุนสำคัญเพราะมันเป็นตัวบ่งชี้ว่าโอกาสที่จะเสียเงินของผู้ลงทุน ในการลงทุนใดๆ เสี่ยงและผลประกอบการไม่แน่นอน ดังนั้น ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงและวิเคราะห์อย่างละเอียดในการตัดสินใจลงทุน

  1. ความเสี่ยงหมายถึงระดับความไม่แน่นอน และ/หรือผลขาดทุนทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจลงทุน กล่าวคือ เป็นการนำเงินไปลงทุนโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ต้องการหรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นความเสียหายที่เกินกว่าระดับที่คาดไว้
  2. ถ้าอย่างนั้นจะเสี่ยงลงทุนไปทำไม แทนที่จะเก็บเงินเอาไว้ แต่ใครจะรู้ว่าความเสี่ยงอาจช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นก็ได้
  3. หากคุณต้องการให้เงินลงทุนงอกเงย ลองหัดทำความคุ้นเคยกับความเสี่ยงดู แต่อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่คุณได้รับจะอยู่ในระดับไหนนั้น ตัวคุณนั่นแหละที่เป็นคนกำหนด
  4. สมมติว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในช่วงระยะสั้นๆ แล้วไปกระทบต่อมูลค่าของเงินที่คุณลงทุนไป ถึงอย่างนั้นคุณกลับไม่ได้รู้สึกกังวลมากนัก นั่นแปลว่าคุณน่าจะสามารถยอมรับความเสี่ยงได้อยู่บ้าง
  5. หากคุณรู้สึกกระวนกระวายใจเพียงแค่คิดว่า มูลค่าเงินลงทุนอาจจะลดลงแม้เพียงแค่หนึ่งวันแล้วล่ะก็ การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอาจเหมาะกับคุณมากกว่า
  6. หากคุณตั้งใจจะลงทุนในระยะยาว ก็ค่อนข้างยากที่จะกำจัดความเสี่ยงในขณะที่ยังได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่

เพื่อไม่ให้การลงทุนของคุณมีความเสี่ยงควรศึกษารายละเอียดทุกอย่างก่อนการตัดสินใจลงทุน

การลงทุนประเภทใดบ้างที่ต้องเสียภาษี & ไม่ต้องเสียภาษี

  1. การลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทที่ให้ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของดอกเบี้ย เช่น เงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ โดยดอกเบี้ยที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
  2. การลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทที่ให้ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของเงินปันผล เช่น หุ้นสามัญ และกองทุนรวมที่จ่ายเงินปันผล โดยเงินปันผลที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%
  3. Capital Gain หรือ ผลกำไรจากส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ คือ รูปแบบของกำไรที่ได้มาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่า เกิดเป็นกำไรส่วนเกินของทุน
  4. กำไรที่ได้จาก Capital Gain ถูกเรียกเก็บภาษีในบางประเทศ ส่วนในประเทศไทยนั้น เงินได้จากการขาย หรือโอนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีการเรียกเก็บภาษี
  5. ส่วนในกรณีที่เป็นการขายหรือโอนหลักทรัพย์นอกตลาด ผู้ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันในปีภาษีจะต้องเสียภาษีโดยถูกหัก ณ ที่จ่ายตามอัตราภาษีก้าวหน้า และต้องนำเงินได้ไปรวมคำนวณตอนสิ้นปีด้วย
  6. ส่วน Capital Gain จากการลงทุนในกองทุนรวม ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี

สรุป

  • สิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนควรมี คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจ การที่เราจะประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ก็ตาม ตัวเราเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
  • แม้ว่าแผนการลงทุนที่ได้วางไว้จะดีเพียงใดก็ตาม แต่หากขาดความมุ่งมั่นตั้งใจ ขาดวินัย และขาดความอดทนในการออมการลงทุนแล้ว การไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้คงเป็นไปได้ยาก
  • เมื่อตั้งเป้าหมายการเงินของตัวเองได้แล้ว ขอให้รีบลงมือทำตามแผน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะจะทำให้เราอาจไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
  • หากเรามีการวางแผนการลงทุน มีวินัยในการลงมือทำตามแผน และมีการทบทวนแผนอย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จทางการเงินตามที่ตั้งใจไว้ ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม

 

halo icon removebg preview

เรามีประสบการณ์ด้านเว็บไซต์มายาวนาน ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เป็นการให้ข้อมูลต่อผู้อ่าน เราจะสามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางของชีวิตเราได้อย่างไร ผมจึงสร้าง halojepang.com ขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้อ่านที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ ได้ฟรี

การทำงานออนไลน์และมีรายได้นั้นมีจริง ยิ่งโลกปัจจุบันแล้ว มีช่องทางมากมาย ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ ขอแค่ตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จได้