จุดตั้งต้นของความสำเร็จทางการเงิน ก็คงจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน การวางแผนทางการเงินที่เก็บสะสม เพื่อให้พอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ทุกคนจะรู้ว่าการออมเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็อย่าละเลยการวางแผนทางการเงินด้วยการบริหารเงินให้ดีเพื่ออนาคตที่รออยู่ข้างหน้าจะสะดวกสบายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วิธีบริหารเงินมีอะไรบ้างไปดูในบทความนี้เลยจ้า
วิธีบริหารเงินคืออะไร
การวางแผนทางการเงินเป็นการจัดการเงินเพื่อใช้ในอนาคตและในชีวิตประจำวัน เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในชีวิต
- ซึ่งแต่ละบุคคลควรจัดสรรรายได้ของตนเองเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายปัจจุบัน และเป็นเงินออมในอนาคตเป็นจำนวนเท่าใด สิ่งที่สำคัญในการวางแผนการออมคือการประมาณรายได้และรายจ่าย
- ตัวอย่างเช่น บุคคลต้องการซื้อบ้านจะต้องวางแผนการออมโดยกำหนดจำนวนเงินและระยะเวลาที่สะสมเงินออมเพื่อให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ
- เงินออมยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินนามฉุกเฉิน แสดงให้เห็นว่าการออมเป็นรูปแบบของการลงทุนอย่างหนึ่ง ทุกคนจึงควรบริหารเงินออมอย่างรอบคอบ
วิธีบริหารเงิน แบ่งเงินออกเป็น 4 ส่วน
การวางแผนและกำหนดเป้าหมายทางการเงิน เป็นวิธีการ บริหารเงิน ที่เริ่มด้วยการออมเงินที่เป็นรากฐาน นำมาซึ่งเงินต้นและดอกเบี้ยที่มีมากพอที่จะเป็นเงินไว้ใช้สำหรับลงทุนในด้านต่างๆ ที่จะเป็นส่วนของการบริหารเงินสามารถแบ่งได้ 4 ส่วน ดังนี้
เงินรายได้
- แต่ละคนมีรายได้แตกต่างๆ กันไป คนมีรายได้มาก รายได้ปานกลาง รายได้น้อย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่รายได้สูง หรือลูกจ้างกินเงินเดือนแต่ละเดือน
- ต้องตั้งเป้าหมายในอนาคตว่าตอนเรามีอายุมาก ในวัยชราภาพแล้วทำงานไม่ได้แล้ว ก็ให้เงินทำงานแทนคือการลงทุนโดยไม่ต้องทำงาน
- ให้มีค่าตอบแทนมากพอกับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนได้ และจะมีเงินสำรองไว้
สามารถเก็บได้ในรูปแบบ
- เงินทุนการศึกษาของบุตร
- เงินเก็บไว้ในธนาคาร
- กองทุนรวมต่างๆ
- ทำประกันชีวิต
- ประกันสุขภาพ
- ซึ่งหากทำได้ดังนั้น นอกจากคุณจะมีเงินเก็บออม มีเงินใช้ตลอดเดือนแล้ว อนาคตคุณยังอาจจะร่ำรวยได้อีกด้วย
เงินออมจากรายได้
- รายได้ที่เราได้จากการทำงานต่างๆ สะสมไว้ให้มากที่สุด ในตอนที่เรายังมีพละกำลังในวัยหนุ่มสาว สุขภาพก็ยังดีพยายามทำงานหาเงินไปให้มากที่สุด
- ถ้าแก่ตัวไปอายุมาก ยังเก็บเงินไม่ได้เลย หรือได้น้อยก็อาจเป็นปัญหาได้ จึงควรหาเงินเมื่อตอนอายุยังน้อย
สามารถเก็บได้ในรูปแบบ
- ออมไว้ในธนาคารโดยฝากประจำ ดอกเบี้ยจะสูงดอกเบี้ยเงินฝากทบต้น มีพลังมากทำให้เงินเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ
- เราต้องศึกษาหาความรู้เรื่องดอกเบี้ยกับอัตราเงินเฟ้อให้ดีพอ เพราะถ้าอัตราเงินมีมากว่าดอกเบี้ย
- ถ้านานหลายปีเข้าเงินเราจะใช้ได้น้อยกับการใช้จ่าย แต่อัตราดอกเบี้ยมีมากกว่าอัตราเงินเฟ้อก็ไม่เป็นไร ฝากธนาคารไว้ปลอดภัยดีที่สุด
รายจ่ายประจำเดือน
มีหลายประเภทด้วยกัน
ประเภทแรกเป็นรายจ่ายที่แน่นอนทุกเดือน
- เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเงินการศึกษาบุตร จะมีความแน่นอนตายตัว สามารถควบคุมได้ว่ามีรายจ่ายอยู่เท่าใดในเดือนหนึ่ง โดยไม่ต้องกังวลมากนัก
- ถ้าเรายังทำงานมีเงินเดือนหรือที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน เว้นแต่เจ้าของกิจการเองรายได้อาจไม่คงที่เป็นไปตามการค้าขายที่บางช่วงก็ดีบางช่วงก็ไม่ได้ ดังนั้นเจ้าของกิจการต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ประเภทที่สองค่าใช้จ่ายที่ไม่แน่นอน
- ค่ารักษาพยาบาลเวลาเจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เราคาดไม่ถึง เพราะคนเราอาจเจ็บป่วยได้ หรือถ้าร้ายหนักกว่านี้ก็เป็นอุบัติเหตุที่เราไม่รู้ได้ในวันใดวันหนึ่ง
- เราก็ควรทำประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุไว้ด้วย ค่าทานเลี้ยงงานต่างๆ ค่าไปเที่ยวพักผ่อน ก็ให้มีได้พอประมาณตามสังคม
เงินที่จะนำไปลงทุน
- มีให้เลือกลงทุนมีหลายแบบที่เราจะเลือกต้องความถนัดของเรา และเป็นแบบที่ได้ผลตอบแทนที่ดี แล้วให้เรานำเงินบางส่วนที่สามารถนำมาลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
- โดยเงินที่มาลงทุนจำนวนนี้ลงเสียหายก็ยังมีเงินเหลืออยู่มากพอที่จะใช้จ่ายในการดำรงชีวิตได้
- ซึ่งเงินที่จะนำมาลงทุนนั้นเราต้องเลือกลงทุนในแบบที่มีความเสี่ยงไม่มากแต่ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากที่ธนาคาร
ตัวอย่างการลงทุน
- พันธบัตร
- กองทุนรวมต่างๆ
- แนะนำให้เลือกการลงทุนที่เหมาะกับตัวคุณที่สุด และคุณสามารถทำได้โดยไม่เสี่ยงต่อการขาดทุนมากนัก
- โดยเฉพาะการลงทุนที่คุณพอจะมีพื้นฐานและความถนัดอยู่แล้ว ซึ่งหากทำได้ดังนี้ คุณจะประสบความสำเร็จทั้งการลงทุนและการประสบความสำเร็จในชีวิตกันเลยทีเดียว
การมีวินัยจะทำให้ไปถึงเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ในการวางแผนบริหารการใช้เงินได้ดีไม่มีสะดุด และจะประสบความสำเร็จโดยรวดเร็วที่สุด ถ้ารักษาวินัยให้เป็นไปตามแผน
การแบ่งเงิน 4 ส่วน โดยเก็บแยก 4 บัญชี
ถ้าอยากแบ่งเงินเป็นส่วนๆแนะนำให้เปิดบัญชีไว้ 4 บัญชีเพื่อเก็บเงินในแต่ละส่วน จะมีบัญชีแบบใดบ้างไปดูกันเลย
บัญชีทั่วไป ใช้ในชีวิตประจำวัน
- ส่วนแรกนี้ มันก็คือบัญชีที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นบัญชีพื้นฐานทั่วไปเลย
บัญชีออมเงินระยะสั้น
- บัญชีที่เราเอาไว้สำหรับออมเงิน เพื่อเป้าหมายระยะเวลาไม่นานมาก อาจจะสัก 3-7 ปี
ตัวอย่างเช่น
- ซื้อบ้าน
- ซื้อรถ
- เก็บเงินแต่งงาน
- ลงทุนในด้านต่างๆ
บัญชีออมเงินระยะยาว
- บัญชีที่เราจะออมกันยาวๆ ประมาณว่าห้ามถอนเด็ดขาดเลย
- โดยปกติจะเป็นเงินส่วนที่เราออมไว้เพื่อใช้ในยามแก่ชราแล้วนั้นเอง
- บางคนอาจจะมีความคิดว่า ตอนเราแก่ไป เดี๋ยวก็มีลูกหลานดูแล แต่ความคิดแบบนั้นหลายๆครั้งมันก็อันตราย อะไรจะเกิดขึ้นบ้างก็ไม่รู้ ยังไงกันไว้ก็ดีกว่าแก้
บัญชีออมเพื่อการลงทุน
- ส่วนนี้คือส่วนที่เราจะออมไว้เพื่อลงทุนในด้านต่างๆ
- เพื่อให้เงินของเรามันงอกเงยเติบโตขึ้นมา เพราะเราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าดอกเบี้ยธนาคารมันไม่พอหรอก
- ใช้เงินส่วนนี้เพื่อให้เงินที่เรามีอยู่นั้นเติบโตขึ้นไปอีก
บัญชีทั้ง 4 ประเภทที่เราควรมีไว้นั้นเอง เพื่อให้การบริหารเงินเป็นไปตามแผนที่วางไว้ทำให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตในอนาคต โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องเงิน
วิธีบริหารเงิน แบ่งเงินเป็น 6 ส่วน
การบริหารจัดการที่ดีพอ เราจะต้องหาวิธีบริหารเงินที่ถูกต้อง เพื่อสร้างนิสัยทางการเงินที่จะพาชีวิตเรามั่งคั่งได้ในอนาคต โดยสิ่งสำคัญคือการแบ่งรายได้ต่อเดือนที่ได้รับทั้งหมดออกเป็น 6 ส่วน มีอะไรบ้างไปดูกันเลย
ส่วนที่ 1 เงินใช้จ่ายจำเป็น
- เงินที่ใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างเช่น
- ค่าอาหาร
- ค่าน้ำ
- ค่าไฟ
- โดยส่วนนี้คิดเป็น 55% ของรายได้ทั้งหมดในแต่ละเดือน
ส่วนที่ 2 เงินสำหรับหลังเกษียณ
- เงินออมสำหรับสำรองไว้ใช้ในอนาคตหลังจากที่ต้องออกงาน หรือยามวัยชรา สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ไม่เดือดร้อนลูกหลาน
- โดยส่วนนี้คิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมดในแต่ละเดือน
ส่วนที่ 3 เงินก้อนใหญ่ให้อนาคต
- คิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด
เงินออมระยะยาว
- เก็บเงินไว้แต่งงาน
- ซื้อบ้าน
- เมื่อถึงเวลาที่จะต้องจ่ายจะได้มีกำลังในการจ่าย โดยไม่ต้องหยิบยืมใครให้เป็นหนี้
ส่วนที่ 4 เงินเพื่อการศึกษา
- การลงทุนเพื่อตัวเองเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด
- เงินส่วนนี้จะช่วยเพิ่มทักษะ การพัฒนาความรู้ต่างๆ
- โดยคิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด
ส่วนที่ 5 เงินสำหรับรางวัลชีวิต
- คิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด
- เป็นเงินที่สนองความสุข
- การให้รางวัลกับตัวคุณเองหลังจากที่ทุ่มเทกับการทำงาน เช่น ได้เงินมา 100 บาท แบ่งลงกระปุกใบนี้ 10 บาท
ส่วนที่ 6 เงินใจบุญ
- เป็นเงินแห่งการแบ่งปันเพื่อผู้อื่น
- คิดเป็น 5% ของรายได้ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น
- การบริจาค
- ทำบุญ
- หรือแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้เพื่อนๆ หรือครอบครัวก็ได้
ในแต่ละวิธีการจะกำหนดสัดส่วนของเงินแต่ละก้อนไว้ชัดเจน แต่สามารถปรับเพิ่ม หรือลดบางอย่างเพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรามากที่สุด อย่างน้อยขอให้เริ่มจากการออมและลงทุนเพื่ออนาคตกันก่อน เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับชีวิตข้างหน้า
แบ่งเงินเป็นเปอร์เซ็นต์ ทำยังไง
วิธีนี้จะทำให้เราวางแผนการออมเงินและการใช้ชีวิตในแต่ละเดือนได้อย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีหักเปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนอย่างชัดเจน
ซึ่งวิธีจะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละเดือนเราจะต้องมีเงินใช้จำนวนเท่าไหร่ และยังเป็นวิธีที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีรายจ่ายจำเป็นที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนอีกด้วย จะมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์แบบใด ไปดูกันเลย
การแบ่งเงินเป็นเปอร์เซ็นต์
- เงินออม 20%
- รายจ่ายจำเป็น 45%
- รายจ่ายในชีวิตประจำวัน 35%
ตัวอย่าง
- นางสาวมาลีได้รับเงินเดือน 30,000 บาท มาลีจะต้องแบ่งสัดส่วนเงิน ดังนี้
- เงินออม 20% ของเงินเดือน = 30,000 x 20/100 = 6,000 บาท
- รายจ่ายจำเป็น 45% ของเงินเดือน = 30,000 x 45/100 = 13,500 บาท
- รายจ่ายในชีวิตประจำวัน 35% ของเงินเดือน = 30,000 x 35/100 = 10,500 บาท
ข้อดีของวิธีนี้
- ช่วยให้เราวางแผนการใช้เงินอย่างเป็นสัดส่วนที่ทำให้เรารู้ว่าเรามีกำลังทรัพย์มากพอจะใช้จ่ายในส่วนนั้น ๆ หรือไม่
- ตัวอย่างเช่น เราอยากมีรถ 1 คัน หากแบ่งเปอร์เซ็นต์ตามนี้แล้วนั้น เราจะสามารถผ่อนค่างวดรถได้หรือไม่ หากไม่ได้เราอาจจะต้องเพิ่มรายรับของเราให้มากขึ้นเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมาย
- โดยที่เราไม่จำเป็นต้องดึงเงินออมมาใช้จ่ายแต่อย่างใด
สูตรบริหารเงินที่ใช้ได้ผลที่สุด
การบริหารเงินที่ใช้ได้ผลดีที่สุด มีสูตรอะไรไปดูกันเลย
สูตรที่บริหารเงินแบบ 50 – 30 – 20
- สำหรับสูตร 50 – 30 – 20 นี้จะแบ่งสัดส่วนรายได้ตามหมวดหมู่ที่วางแผนไว้
- เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อการใช้จ่ายในแต่ละเดือน คือ เวลาเงินเดือนเข้าบัญชีก็จัดการแบ่งออกเป็น 3 ก้อนไว้เลย
ตัวอย่างเช่น
เงินเดือน 15,000 บาท ก็แบ่งเป็น 7,500 บาท : 5,000 บาท : 2,500 บาท โดยจำแนกเงินออกเป็นดังนี้
เงินก้อน 50% สำหรับใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือน
- เงินจำนวน 7,500 บาท สำหรับใช้จ่ายในแต่ละเดือน
- เงินค่าอยู่ค่ากิน เงินจ่ายหนี้บัตรเครดิต เงินค่าผ่อนของ ค่าผ่อนรถ หรือผ่อนคอนโดมิเนียม รวมถึง ให้พ่อแม่
- โดยเงินก้อนนี้จะใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่ใช่เพื่อความต้องการ
- ดังนั้น ก่อนตัดสินใจต้องแน่ใจว่าใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
เงินก้อน 30% สำหรับใช้เพื่อซื้อสร้างความสุข
- เงิน 5,000 บาท สำหรับใช้เพื่อสร้างความสุข เช่น ทานอาหารนอกบ้าน ชอปปิง ท่องเที่ยว
- รวมถึง ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามือถือ เป็นต้น
- อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นเงินจ่ายเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง แต่ควรคิดให้รอบคอบว่าเพื่อความจำเป็น
- หากเป็นเช่นนี้จะทำให้การใช้จ่ายเงินอยู่ในงบประมาณที่วางเอาไว้
เงินก้อน 20% สำหรับใช้ในการออม
- เงินก้อนสุดท้ายจำนวน 2,500 บาท สำหรับเก็บออม
- โดยทำการแบ่งเงินออกเป็นก้อนๆ ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
- ตัวอย่างเช่น 1,000 บาทเก็บเพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 500 บาทเพื่อเตรียมซื้อของในเวลาจำเป็น อีก 1,000 บาท เพื่อเตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ
- โดยเงินก้อนสุดท้ายนี้ควรนำไปเก็บออมไว้ตามความเหมาะสมของแต่ละเป้าหมาย
- โดยเงินเก็บเพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินควรเป็นเงินฝากออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เงินเพื่อซื้อบ้านควรนำไปซื้อกองทุนรวมผสม หรือ เงินเพื่อวัยเกษียณ เป็นต้น
สูตรบริหารเงินที่เราได้แนะนำไปนั้นในการวางแผนการเงินสำหรับอนาคต จึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก เพราะไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง และต้องมีวินัยในตัวเองค่อนข้างสูง บังคับตัวเองไปสักระยะหนึ่ง เราจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอน
สูตรแบ่งเงินมนุษย์เงินเดือนให้พอใช้ถึงสิ้นเดือน
หลายคนที่มีปัญหาเกิดจากการไม่วางแผนการใช้เงินว่าต้องใช้สำหรับอะไรบ้าง มาดูวิธีการแบ่งเงินเดือนว่าต้องทำยังไงให้พอใช้ถึงสิ้นเดือน จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
-
รายจ่ายประจำ
- แบ่งให้ส่วนนี้สูงสุดไม่เกิน 60% (หรือประมาณ 50-60%) ของรายได้
รายได้ที่จำเป็นต้องจ่ายในทุกๆ เดือน
- ค่าผ่อนคอนโด/ค่าหอพัก/ค่าบ้าน
- ค่าส่วนกลาง
- ค่าเดินทาง
- เงินสำหรับให้พ่อแม่
- รายจ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเพื่อดำรงชีพ
- แบ่งส่วนนี้ 35% (หรือประมาณ 35-45%) โดยจะไม่ให้เกินนี้ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด
รายจ่ายเพื่อดำรงชีพ
- ค่าอาหาร
- ค่าเที่ยว
- ค่าสังสรรค์กับเพื่อน
- กินข้าวนอกบ้าน
- ซื้อของใช้
- แบ่งเงินออม เงินลงทุน
- แนะนําให้เริ่มออมเงินที่ 10% และค่อยๆ เพิ่มขึ้นไป แต่ถ้าใครเป็นมือใหม่เพิ่มเริ่มต้นหรือเงินเดือนยังไงเยอะก็ปรับลงให้เหลือ 5% ได้ (หรือประมาณ 5-10%)
- พอได้ออมจนติดเป็นนิสัยค่อยเพิ่มสัดส่วนการออมการลงทุนขึ้น
ประโยชน์ของการวางแผนทางการเงิน
- การวางแผนทางการเงิน ทำให้รู้ถึงสถานะทางการเงินที่แท้จริง
- คนเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตนเองมีสถานะการเงินอย่างไร หากใครที่ต้องการวางแผนการเงิน การรู้สถานะทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอันดับแรก
- คุณสามารถใช้โปรแกรมคำนวณในการช่วยบันทึกข้อมูลเหล่านี้โดยแยกรายการหรือแยกหน้าตามที่ต้องการ
- ตั้งแต่การบันทึกค่าใช้จ่ายประจำวันและสรุปเป็นรายเดือนเพื่อเปรียบเทียบระหว่างเดือน คุณมีรายรับจากด้านใดบ้างในแต่ละช่วงเวลาของปี
- การวางแผนทางการเงิน ช่วยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
- จากการทำตารางเพื่อบันทึกรายการค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ถ้าคุณบันทึกได้ดีและลงรายละเอียดว่ามีการใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ไปอย่างไรบ้างในแต่ละวัน
- สิ่งเหล่านี้คุณจะจำไม่ได้เลยถ้าไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ หากใช้บัตรเครดิตก็จะไม่สามารถครอบคลุมและเห็นเพียง Statement รายเดือนเท่านั้น
- การจดบันทึกจะเป็นเหมือนมิเตอร์ที่เตือนให้คุณรู้ว่าค่าใช้จ่ายในหมวดใดหรือรายการใดที่คุณใช้เงินเกินจำเป็นแล้ว
- ส่วนจะลดรายการใช้จ่ายอย่างไรก็อยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละบุคคล ตารางข้อมูลเป็นเพียงตัวช่วยในการบ่งบอกเท่านั้น
- การวางแผนทางการเงิน ส่วนบุคคล ทำให้มีรายได้เพิ่มจากการออมและวางแผนภาษี
- การทราบที่มาที่ไปว่ามีรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างไร ทำให้บุคคลสามารถจัดการเรื่องการออมได้อย่างถูกต้อง
- ถ้ามีเงินเดือนในบริษัทที่มั่นคงและดำเนินชีวิตตามปกติก็ค่อนข้างจะคำนวณได้แม่นยำว่าต้องการเก็บออมเงินเป็นจำนวนเท่าใด และจะออมอย่างไร
- เพื่อที่จะได้แบ่งสรรปันส่วนเงินไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ได้ เช่น บริจาคเพื่อการกุศล การซื้อประกันชีวิตหรือการซื้อกองทุนรวม หรือการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อใช้เป็นส่วนลดหย่อนค่าใช้จ่ายก่อนคำนวณภาษีได้
- การวางแผนทางการเงินทำให้สามารถวางแผนการใช้ชีวิตในอนาคต
- เพราะคนเราไม่ได้มีสถานะอยู่เหมือนเดิมตลอดไป ตามอายุที่เพิ่มขึ้น คุณก็จะต้องเกษียณในอนาคต และหลังจากเกษียณแล้วคุณจะหารายได้อย่างไรต่อไป
- การวางแผนทางการเงินจะทำให้รู้ว่าคุณมีเงินเหลือพอที่จะหาความสุขในชีวิต เช่น ไปท่องเที่ยวได้อย่างไร มีงบที่จะไปเรียนต่อได้หรือไม่
- สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้โดยการวางแผนทางการเงินเพื่อให้คุณจัดการเงินรายได้และรายจ่ายอย่างเหมาะสมโดยยังคงมีความมั่นคงทางการเงินรองรับ
ข้อดีของการมีแผนการเงินที่ชัดเจน
ทำให้รู้สถานะการเงินที่แท้จริง
- การรู้สถานะการเงินของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าเรามีเงินเก็บอยู่ในระดับไหนแล้ว จะเป็นการช่วยสร้างความสุขทางใจให้เราได้อย่างไม่น่า
มีวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้น
- เมื่อเราได้วางแผนทางการเงินอย่างจริงจังแล้ว จะทำให้เรามองเห็นทิศทางการใช้จ่ายในแต่ละช่วงเวลาอย่างชัดเจน จะช่วยทำให้เรามีวินัยและอุปนิสัยในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วยอย่างแน่นอน
มีรายได้เพิ่มแน่นอน
- แน่นอนว่าเมื่อเราวางแผนทางการเงินตั้งแต่การใช้จ่าย การเก็บออม จนถึงการลงทุนนั้น จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เท่ากับว่าในแต่ละปีจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ต้นทุนก็ยังมั่นคง
ตั้งเข็มทิศชีวิต ได้ตรงทิศทาง
- การเปลี่ยนงานแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายระหว่างที่ไม่มีงานทำ หรือจะไปเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองก็ต้องใช้เงินลงทุน จะมากจะน้อยก็ต้องใช้อยู่ดี
- แต่หากเราผ่านการวางแผนทางการเงินมาสักระยะ เราอาจจะตั้งเข็มทิศชีวิตได้เร็วกว่ากำหนด
จัดการชีวิตได้อย่างลงตัว
- การใช้จ่าย กินเที่ยว ในแต่ละวัน บางครั้งเรามองเห็นเป็นตัวเลขที่ไม่ชัดเจน หากเริ่มต้นวางแผนทางการเงินเสียตั้งแต่วันนี้ ก็จะทำให้เราค้นหาตัวเองเจอได้เร็วขึ้น
ข้อเสียของการไม่วางแผนทางการเงิน
ไม่วางแผนการเงิน รายได้สูญเปล่าอย่างไร้ประโยชน์
- ถ้าหากลงทุนลงแรงด้วยความเหนื่อยยาก แต่กลับไม่รู้จักวางแผนการใช้จ่าย ก็ย่อมจะต้องนับเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะจะทำให้รายได้ที่หามานั้นจำต้องสูญเปล่าไปอย่างไร้ซึ่งประโยชน์
ไม่วางแผนการเงิน ไม่มีเงินเก็บ
- การใช้จ่ายโดยไม่วางแผนทางการเงิน ทำให้ท่านไม่มีเงินเก็บ เพราะเมื่อมีรายได้ แทนที่จะนำรายได้นั้นมาแบ่งสันปันส่วนไว้เป็นเงินเก็บเพื่อสำรองใช้ในยามฉุกเฉิน ก็กลับใช้จ่ายไปเสียจนหมดสิ้น
ไม่วางแผนการเงิน ทางลัดสู่ภาวะหนี้สิน
- เมื่อไม่มีเงินเก็บเพราะขาดการวางแผนทางการเงินที่ดี ผลพวงประการถัดมาก็คือเรื่องของหนี้สิน เพราะถ้าหากถึงคราวเคราะห์ที่ต้องพบกับรายจ่ายอันไม่คาดคิด
ไม่วางแผนการเงิน ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
- ผู้ที่มีรายได้ในช่วงแรกเริ่ม อาจมีความทะเยอทะยานในการใช้จ่ายเพื่อแลกมาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถ คอนโด หรือข้าวของเครื่องใช้อันมีมูลค่า
- รายได้นั้นกลับไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่จะช่วยให้สามารถได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ ได้ แต่ปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเรื่องของการวางแผนทางการเงิน
ไม่วางแผนการเงิน ใช้เงินอย่างไม่มีอนาคต
- การไม่วางแผนทางการเงิน นับเป็นการใช้เงินอย่างสะเปะสะปะ ไม่มีระบบแบบแผนที่ควบคุมได้
- ดังนั้นจึงทำให้สภาวะทางการเงินขาดความมั่นคง ไม่สามารถกำหนดได้ว่าในแต่ละเดือนจะต้องมีรายรับเท่าใด มีรายจ่ายเท่าใด และมีเงินเก็บเท่าใด จึงยากที่จะกำหนดอนาคตได้
ไม่วางแผนการเงิน ไม่มีวันประสบความสำเร็จ
- การวางแผนทางการเงิน เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราทุกคนสามารถประสบความสำเร็จทางด้านการเงินได้
- เมื่อสามารถทราบถึงภาวะทางการเงิน ทั้งรายรับ รายจ่าย เงินคงเหลือ ตลอดจนความเสี่ยงต่างๆ ก็ย่อมสามารถควบคุมได้โดยอิสระ
สรุป
- เมื่อเห็นประโยชน์ที่สำคัญของการ วางแผนทางการเงิน ส่วนบุคคลแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องหันกลับมาตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องวางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง
- เพื่อให้สามารถลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและรู้ว่าต้องหารายได้เพิ่มอย่างไรบ้างจึงจะเพียงพอต่อรายจ่ายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
- ปัจจุบันก็มีหนังสือและวิดีโอความรู้มากมายเกี่ยวกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
- ยิ่งเราใส่ใจด้านการวางแผนการเงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสร่ำรวยมากขึ้นเท่านั้น
เรามีประสบการณ์ด้านเว็บไซต์มายาวนาน ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เป็นการให้ข้อมูลต่อผู้อ่าน เราจะสามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางของชีวิตเราได้อย่างไร ผมจึงสร้าง halojepang.com ขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้อ่านที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ ได้ฟรี
การทำงานออนไลน์และมีรายได้นั้นมีจริง ยิ่งโลกปัจจุบันแล้ว มีช่องทางมากมาย ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ ขอแค่ตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จได้