Hedge Fund หรือกองทุนบริหารความเสี่ยงเป็นรูปแบบการลงทุนที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไป ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายและซับซ้อน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจทุกแง่มุมของ Hedge Fund ตั้งแต่ความหมาย ประวัติความเป็นมา วิธีการทำงาน ไปจนถึงข้อดีข้อเสียที่นักลงทุนควรรู้
Hedge Fund คืออะไร
Hedge Fund คือ กองทุนลงทุนเอกชนที่นำเงินจากนักลงทุนมาบริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย รวมถึงการใช้เงินกู้ยืม (Leverage) และการซื้อขายสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนทั่วไป Hedge Fund มักมีความเสี่ยงสูง และโดยทั่วไปจะเปิดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงเท่านั้น
คำว่า “Hedge” ในภาษาอังกฤษหมายถึง “การป้องกันความเสี่ยง” ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดดั้งเดิมของกองทุนประเภทนี้ที่มุ่งป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Hedge Fund มักใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การป้องกันความเสี่ยงเท่านั้น
ประวัติความเป็นมาของ Hedge Fund
แนวคิดเรื่องกองทุนบริหารความเสี่ยงเริ่มต้นขึ้นในปี 1949 โดย Alfred Winslow Jones นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ผู้ริเริ่มแนวคิดการบริหารการลงทุนแบบ Long-Short Equity ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีราคาสูงขึ้น (Long Position) และขายหุ้นที่คาดว่าจะมีราคาลดลง (Short Position) ไปพร้อมกัน
Jones ยังได้คิดค้าโครงสร้างค่าธรรมเนียมแบบ “2 and 20” ที่เป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรม Hedge Fund จนถึงปัจจุบัน กล่าวคือคิดค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ และค่าธรรมเนียมผลการดำเนินงาน 20% ของกำไรที่ทำได้
Hedge Fund ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อตลาดหุ้นกำลังเติบโต และเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
วิธีการทำงานของ Hedge Fund
Hedge Fund ใช้เทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่หลากหลายในการสร้างผลตอบแทน ไม่ว่าจะเป็น:
เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)
กองทุนบริหารความเสี่ยงใช้บล็อกเชนในการบันทึกธุรกรรมทั้งหมด โดยบล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่บันทึกประวัติการทำธุรกรรมตั้งแต่เริ่มต้น ข้อมูลจะถูกเก็บในรูปแบบบล็อก และเชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลย้อนหลังได้
การทำธุรกรรมจะถูกตรวจสอบและยืนยันโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือตัวกลางใดๆ ทำให้การโอนเงินเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ
กลยุทธ์การลงทุนของ Hedge Fund
Hedge Fund มีกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก:
- Global Macro – กองทุนที่ใช้กลยุทธ์นี้จะวิเคราะห์ปัจจัยมหภาคระดับโลก เช่น นโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ย หรือเหตุการณ์ทางการเมือง เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดและลงทุนตามนั้น
- Equity Hedge – กลยุทธ์นี้เน้นการลงทุนในหุ้น โดยอาจเน้นที่ตลาดโลกหรือเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง ด้วยการซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มทำกำไรสูง และขายชอร์ตหุ้นหรือดัชนีที่มีราคาสูงเกินจริง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดขาลง
- Relative Value – กลยุทธ์นี้หาประโยชน์จากความแตกต่างของราคาระหว่างหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกัน โดยซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น และขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินจริง
- Event-Driven – กลยุทธ์นี้มุ่งหาโอกาสจากเหตุการณ์พิเศษภายในบริษัท เช่น การควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้าง การล้มละลาย หรือการถูกซื้อกิจการ โดยลงทุนก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลกระทบของเหตุการณ์เหล่านั้น
ความแตกต่างระหว่าง Hedge Fund กับกองทุนรวม
Hedge Fund และกองทุนรวม (Mutual Fund) แม้จะเป็นเครื่องมือการลงทุนเช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันหลายประการ:
เรื่อง | Hedge Fund | กองทุนรวม |
---|---|---|
กลุ่มนักลงทุน | เฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ที่มีคุณสมบัติตามกำหนด | เปิดให้นักลงทุนทั่วไป |
ขั้นต่ำในการลงทุน | สูง (มักเป็นล้านบาทขึ้นไป) | ต่ำ (เริ่มต้นที่พันบาทหรือต่ำกว่า) |
การกำกับดูแล | มีการกำกับดูแลที่น้อยกว่า | มีการกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่า |
กลยุทธ์การลงทุน | หลากหลาย รวมถึงการขายชอร์ต ใช้ Leverage | จำกัดกว่า เน้นการซื้อถือสินทรัพย์ระยะยาว |
ค่าธรรมเนียม | สูง (ค่าจัดการ 2% + ค่าผลงาน 20%) | ต่ำกว่า (มักไม่เกิน 1-2% ต่อปี) |
สภาพคล่อง | ต่ำ (มีระยะเวลาล็อคอัพ) | สูง (ซื้อขายได้ทุกวันทำการ) |
ความเสี่ยง | สูง | ปานกลางถึงต่ำ (ขึ้นอยู่กับประเภท) |
ข้อดีของ Hedge Fund
- ผลตอบแทนที่สูง – Hedge Fund มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะในภาวะตลาดที่ผันผวน
- การกระจายความเสี่ยง – Hedge Fund มักมีความสัมพันธ์ (Correlation) ต่ำกับสินทรัพย์ทั่วไป ทำให้เป็นเครื่องมือที่ดีในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
- ความยืดหยุ่นในการลงทุน – ด้วยการกำกับดูแลที่น้อยกว่า ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีอิสระในการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด
- การป้องกันความเสี่ยง – กองทุนหลายแห่งใช้กลยุทธ์ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนบวกไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง
- การเข้าถึงตลาดพิเศษ – Hedge Fund สามารถลงทุนในตลาดหรือสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก
ข้อเสียของ Hedge Fund
- ความเสี่ยงสูง – Hedge Fund มักใช้กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การใช้ Leverage ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนมหาศาลได้
- ค่าธรรมเนียมสูง – โครงสร้าง “2 and 20” ทำให้นักลงทุนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงมาก ซึ่งกินเข้าไปในผลตอบแทนที่ได้รับ
- สภาพคล่องต่ำ – นักลงทุนมักไม่สามารถถอนเงินได้ทันทีเนื่องจากมีระยะเวลาล็อคอัพ (Lock-up period) ซึ่งอาจนานถึงหนึ่งปีหรือมากกว่า
- ความโปร่งใสน้อย – Hedge Fund ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลมากเท่ากองทุนรวม ทำให้นักลงทุนอาจไม่ทราบว่ากองทุนลงทุนในอะไรบ้าง
- ข้อจำกัดในการเข้าถึง – นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึง Hedge Fund ได้ เนื่องจากมีเงื่อนไขด้านคุณสมบัติและเงินลงทุนขั้นต่ำที่สูง
Hedge Fund ในประเทศไทย
ในประเทศไทย Hedge Fund ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานสากลยังไม่มีการให้บริการอย่างเป็นทางการ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายและการกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้ง Hedge Fund ที่มีการใช้กลยุทธ์เต็มรูปแบบเหมือนในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม มีกองทุนรวมบางประเภทในไทยที่มีนโยบายการลงทุนใกล้เคียงกับ Hedge Fund เช่น กองทุนรวมที่มีการลงทุนในต่างประเทศและมีคำว่า “Hedge” อยู่ในชื่อ ซึ่งมักจะมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไม่ได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Hedge Fund อย่างเต็มรูปแบบ
นักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนใน Hedge Fund อาจทำได้โดยการลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ให้บริการในประเทศไทย หรือผ่านบริษัทหลักทรัพย์ไทยที่มีพันธมิตรในต่างประเทศ แต่จะต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด เช่น มีสินทรัพย์ทางการเงินตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป
ตัวอย่าง Hedge Fund ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
- Bridgewater Associates – ก่อตั้งโดย Ray Dalio เป็น Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Renaissance Technologies – ก่อตั้งโดย Jim Simons เป็นกองทุนที่ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติในการลงทุน มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมาอย่างยาวนาน
- Citadel – ก่อตั้งโดย Kenneth Griffin เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
- Two Sigma – กองทุนที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลขนาดใหญ่ในการลงทุน เป็นผู้นำในด้านการลงทุนแบบ Quantitative
- Paulson & Co. – ก่อตั้งโดย John Paulson เป็นที่รู้จักจากการทำกำไรมหาศาลจากวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2007
ใครควรลงทุนใน Hedge Fund
การลงทุนใน Hedge Fund เหมาะสำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติดังนี้:
- มีฐานะทางการเงินมั่นคง – เนื่องจาก Hedge Fund มักมีเงินลงทุนขั้นต่ำที่สูง นักลงทุนควรมีสินทรัพย์สุทธิอย่างน้อยหลายล้านบาท
- ยอมรับความเสี่ยงได้สูง – Hedge Fund มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนทั่วไป นักลงทุนควรเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงเหล่านี้ได้
- ไม่ต้องการสภาพคล่องในระยะสั้น – เนื่องจากมีระยะเวลาล็อคอัพ นักลงทุนควรเป็นผู้ที่ไม่ต้องการใช้เงินลงทุนในระยะเวลาอันใกล้
- มีความรู้ด้านการลงทุนพอสมควร – การเข้าใจกลยุทธ์และความเสี่ยงของ Hedge Fund ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานด้านการลงทุนที่ดี
- ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน – Hedge Fund สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่
สรุป
Hedge Fund เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีลักษณะพิเศษ มีความซับซ้อน และมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและข้อจำกัดที่สูงเช่นกัน การเข้าถึง Hedge Fund ยังคงจำกัดอยู่เฉพาะนักลงทุนที่มีคุณสมบัติตามกำหนดเท่านั้น
สำหรับนักลงทุนทั่วไปในประเทศไทย แม้จะยังไม่สามารถเข้าถึง Hedge Fund ได้โดยตรง แต่สามารถศึกษาและเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนของ Hedge Fund เพื่อประยุกต์ใช้กับการลงทุนของตนเองได้ในระดับหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใด การศึกษาข้อมูลให้รอบด้านและเข้าใจความเสี่ยงก่อนการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนที่มีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูงอย่าง Hedge Fund
