Absolute advantage คืออะไร?
Absolute advantage คือ ทฤษฎีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ เป็นทฤษฏีในทางเศรษฐศาสตร์หลักการของความได้เปรียบ โดยสมบูรณ์ หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลาย คือ ความสามารถของประเทศในการผลิตสินค้าหรือบริการใดๆ ในปริมาณที่มากกว่าประเทศอื่น ๆ
โดยใช้จำนวนของทรัพยากรหรือปัจจัยผลิตภัณฑ์เทียบเท่ากัน มีอยู่ในประเทศนั้นๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประเทศจะมี absolute advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการเมื่อสามารถผลิตสินค้านั้นๆ ด้วยทรัพยากรหรือต้นทุนที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ เช่น แรงงาน วัสดุอุปกรณ์ ซึ่งทำให้สามารถผลิตสินค้าหรือบริการในราคาที่ต่ำกว่าและมีปริมาณมากขึ้น
Absolute advantage สามารถผลิตสินค้าในปริมาณมากกว่า หรือผลิตสินค้าในปริมาณเท่ากันแต่มีต้นทุนต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ทำให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกกว่า หรือทำกำไรมากกว่า ซึ่งเป็นประโยชน์ที่สำคัญในการแข่งขันในตลาดสินค้าสากล
Absolute advantage เป็นแนวคิดในการค้าระหว่างประเทศที่ช่วยอธิบายว่าทำไมประเทศต้องมีการเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าหรือบริการบางประเภท และทำการค้ากับประเทศอื่นที่ไม่สามารถผลิตได้โดยมีประสิทธิภาพเทียบเท่า แต่ Absolute advantage ไม่ได้พิจารณาเรื่องต้นทุนโอกาสของการผลิตสินค้านั้นๆ ซึ่งเป็นต้นทุนที่เสียไปจากการไม่ผลิตสินค้าอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่าได้ในตลาด
ตัวอย่าง Absolute advantage
หากประเทศ A สามารถผลิตสินค้า 100 หน่วย โดยใช้ทรัพยากร 10 หน่วย ในเวลาเดียวกับประเทศ B ที่ผลิตสินค้าเดียวกันแต่เพียง 50 หน่วยด้วยทรัพยากรเท่ากัน ในกรณีนี้ประเทศ A มี absolute advantage ในการผลิตสินค้านั้นๆ
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยสัมบูรณ์ (Absolute Advantage) ของ อดัม สมิธ (Adam Smith)
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยสัมบูรณ์ (Absolute Advantage) เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังชาวสกอตแลนด์ ได้อธิบายหลักการของความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ในบริบทของการค้าระหว่างประเทศ เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1776 โดยใช้แรงงานเป็นข้อมูลเพียงอย่างเดียว
เนื่องจากความได้เปรียบสัมบูรณ์ถูกกำหนดโดยการเปรียบเทียบอย่างง่ายของผลิตภาพแรงงานจึงเป็นไปได้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่มีความได้เปรียบอย่างแท้จริงในสิ่งใดเลย ทฤษฎีความได้เปรียบโดยสัมบูรณ์ (Absolute Advantage) มีเนื้อหาข้อมูลอยู่ในหนังสือเล่ม “ความสมบูรณ์แห่งประชาชาติ” (The Wealth of Nations) ในปี 1776
โดยสรุปว่า ประเทศที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการใดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าประเทศอื่น ๆ โดยใช้ทรัพยากรหรือต้นทุนที่ต่ำกว่า ก็จะมี absolute advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้นๆ
Comparative Advantage คืออะไร?
Comparative Advantage คือ ความได้เปรียบเทียบ, ทฤษฎีการค้าตามความได้เปรียบสัมพัทธ์หรือความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative advantage) ของ เดวิด ริคาร์โด เป็นการพัฒนามาจากทฤษฎีความได้เปรียบสัมบูรณ์ ของอดมัสมิธ เป็นแนวคิดในเศรษฐศาสตร์ที่อ้างถึงความสามารถของประเทศในการผลิตสินค้าหรือบริการใดๆ ด้วยต้นทุนสูงสุดต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ความสูญเสียโอกาส (Opportunity Cost) ของสินค้าหรือบริการหมายถึงมูลค่าของทางเลือกที่ดีที่สุดที่ต้องเสียเพื่อผลิตมัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประเทศมีความได้เปรียบเทียบในการผลิตสินค้าหรือบริการใดๆ เมื่อสามารถผลิตสินค้าหรือบริการนั้นๆ ด้วยต้นทุนสูงสุดต่ำกว่าประเทศอื่นๆ นั่นหมายความว่า ประเทศสามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความเหมาะสมสูงกว่าประเทศอื่นๆ แม้ว่าประเทศนั้นจะไม่มี absolute advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น
ตัวอย่างเช่น Comparative Advantage
กำหนดให้ประเทศ A สามารถผลิตสารอาหารแป้งหรือข้าวโพดได้ 10 หน่วย และประเทศ B สามารถผลิตสารอาหารแป้งหรือข้าวโพดได้ 5 หน่วยด้วยทรัพยากรเดียวกัน แม้ว่าประเทศ A จะมี absolute advantage ในการผลิตทั้งสารอาหารแป้งและข้าวโพด แต่มี comparative advantage ในการผลิตสารอาหารแป้ง เนื่องจากสามารถผลิตหน่วยละต่ำกว่าประเทศ B ส่วนประเทศ B จะมี comparative advantage ในการผลิตข้าวโพด
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ของ เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo Smith)
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ของ เดวิด ริคาร์โด(David Ricardo) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ผู้ให้กำเนิดทฤษฎีอันเป็นรากฐานของวิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันหลายแขนง อาทิ เช่น ทฤษฎี การค้าระหว่างประเทศ ทฤษฎีว่าด้วยการเก็บภาษีอากร ทฤษฎีว่าด้วยความเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจ ตลอดจนทฤษฎีราคาและการแจกแจงรายได้
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) นั้นมีความว่า ในการยึดหลักการแบ่งงานกันทำ ประเทศจะผลิตสินค้าที่ตนได้เปรียบ โดยเปรียบเทียบที่สูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับอีกประเทศหนึ่งหรือผลิตสินค้าด้วยต้นทุนต่ำที่สุด และได้ส่งออกสินค้าดังกล่าวไปยังประเทศนั้นๆ ในทางตรงกันข้ามก็จะนำเข้าสินค้า ที่ผลิตแล้ว เสียเปรียบโดยเปรียบเทียบที่ต่ำกว่าหรือต้นทุน ค่าเสียโอกาสที่สูงกว่าจากประเทศนั้นการค้าของโลกก็จะเพิ่มขึ้น
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ถือว่า เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นแนวคิดที่กล่าวว่า แม้ว่าประเทศใดจะไม่มี Absolute Advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการใดๆ ก็สามารถมี Comparative Advantage ในการผลิตสินค้าหรือบริการในด้านใดด้านหนึ่งได้ โดยความได้เปรียบนั้นจะถูกวัดโดยการหา Opportunity Cost ของการผลิตสินค้าหรือบริการ ซึ่งจะแสดงถึงมูลค่าของสิ่งที่ต้องสละ เพื่อผลิตสิ่งอื่นๆ
ตัวอย่างเช่นทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ของ เดวิด ริคาร์โด(David Ricardo)Smith)
ประเทศ A สามารถผลิตข้าว 10 ตัน หรือผลไม้ 20 ตัน ในขณะที่ประเทศ B สามารถผลิตข้าว 5 ตัน หรือผลไม้ 15 ตัน หากคำนวณ Opportunity Cost ของการผลิตแต่ละสินค้าจะพบว่า ประเทศ A มี Comparative Advantage ในการผลิตข้าว และประเทศ B มี Comparative Advantage ในการผลิตผลไม้ เนื่องจากมี Opportunity Cost น้อยกว่าในด้านนั้นๆ
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่ คือ ทฤษฎีที่พัฒนามาจากทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของเดวิด ริโคโร่ (Comparative Advantage) และทฤษฎีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ของอดัม สมิธ (Comparative Advantage) โดยทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่เน้นที่ความแตกต่างของปัจจัยการผลิตและการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ เช่น ปัจจัยด้านค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า และระยะทาง ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดราคาสินค้า และการตัดสินใจในการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่ เน้นการใช้ปัจจัยการผลิต และการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก โดย พื้นฐานของทฤษฎีนี้คือ “กลไกของการแลกเปลี่ยนสินค้า” ซึ่งแสดงถึงว่า ประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าบางชนิด จะสามารถส่งออกสินค้าเหล่านั้นไปยังประเทศอื่นได้อย่างได้ผลดี ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้านั้น ก็สามารถนำเงินที่ได้จากการขายสินค้าอื่นๆ ไปซื้อสินค้าที่ประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้านั้นได้
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่นี้ มีผลต่อการส่งออก และการนำเข้าสินค้าของประเทศต่างๆ ซึ่งจะถูกกำหนดโดยปัจจัยต่างๆ เช่น ราคาสินค้า ความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง อัตราแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศ และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ ด้วยทฤษฎีแบบนี้ ประเทศต่างๆ จะมีการแข่งขันกันมากขึ้น
การแข่งขันในการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศจะส่งผล ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการมีสินค้าที่มีคุณภาพสูง และราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังส่งผลให้ประเทศต่างๆ มีการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มความเจริญขึ้นได้ เนื่องจากการส่งออกสินค้าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศและเพิ่มโอกาสในการสร้างงานใหม่ๆ อีกทั้งยังส่งผลให้ประเทศมีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้า และสร้างสินค้าที่มีคุณค่าสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดสัญญาณบวกในการพัฒนาเศรษฐกิจ และเพิ่มโอกาสในการลงทุนในประเทศ
ทั้งนี้การแข่งขันในการผลิตสินค้าและบริการในระดับโลกยังส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ราคาถูกกว่า และยังส่งผลให้เกิดการเลือกสรรสินค้าที่ดีที่สุดและราคาที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ในรูปแบบของคุณภาพสินค้าที่สูง และราคาที่เหมาะสมมากขึ้น
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่ของ Hechscher – Ohlin (H-O)
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศสมัยใหม่ของ Hechscher – Ohlin (H-O) คือ ทฤษฎีการค้า เน้นที่ความแตกต่างของปัจจัยการผลิตระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่างในปัจจัยดังนี้
- ปัจจัยแรงงาน: ประเทศที่มีแรงงานมากจะมีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ต้องใช้แรงงานมากกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วยราคาที่ถูกกว่า เนื่องจากมีการแข่งขันในตลาดแรงงาน
- ปัจจัยแรงงานที่มีคุณภาพ: ประเทศที่มีแรงงานที่มีคุณภาพสูงมีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ต้องใช้แรงงานที่มีคุณภาพสูงกว่าประเทศอื่น ๆ
- ปัจจัยทรัพยากรธรรมชาติ: ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วยราคาที่ถูกกว่า
- ปัจจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม: ประเทศที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มากกว่ามีความสามารถในการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วยราคาที่ถูกกว่า
ทฤษฎี HO Theorem ว่า ด้วยเรื่องของการทํานายรูปแบบการค้า และความเท่าเทียมกันของราคาปัจจัยการผลิต (Factor – Price Equalization Theorem) หรือแม้แต่เรื่องของผลกระทบของการค้าระหว่างประเทศต่อราคาปัจจัยการผลิตตามทฤษฎี HO ซึ่งอธิบายได้ว่า “ประเทศจะส่งออกสินค้าที่ตนมีการผลิต ใช้ปัจจัยการผลิตที่ประเทศตนมี ความอุดมสมบูรณ์ ราคาถูก ขณะเดียวกันก็จะนําเข้าสินค้าที่ตนมีการผลิต โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง จํากัดในประเทศและมีราคาแพง”
มีความหมายในทางทฤษฎี อีกนัยะหนึ่งว่า ประเทศที่มีแรงงานมากจะส่งออกสินค้าประเภท เน้นแรงงานและนําเข้าสินค้าประเภทเน้นการใช้ทุนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงทําให้ราคาสินค้าเปรียบเทียบ ของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างในความอุดมสมบูรณ์ของปัจจัยการผลิต (Factor Abundance or Factor Endowments) ระหว่างประเทศนี้เองเป็นตัวกําหนดความได้เปรียบโดย เปรียบเทียบและการค้าต่างประเทศ ในส่วนของความเท่าเทียมกันของราคาปัจจัยการผลิต (Factor – Price Equalization Theorem) นั้น กล่าวว่า การค้าระหว่างประเทศจะนํามาซึ่งความเท่าเทียมกันในผลตอบแทนสมบูรณ์และผลตอบแทน เปรียบเทียบต่อปัจจัยการผลิตที่เหมือนกันระหว่างประเทศได้ นั่นหมายความว่า การค้าระหว่างประเทศจะเป็นเหตุทําให้ค่าจ้างแรงงานและค่าเช่าของทั้งสองประเทศที่ค้าขายกันนั้นมีความเท่าเทียมกัน (นิสิต พันธมิตร, 2547)
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของเฮคเชอร์-โอลิน (Hechscher-Ohlin Trade Theory) เนื่องจากแต่ละประเทศจะมีทรัพยากรการผลิตในปริมาณที่แตกต่างกัน การผลิตสินค้าชนิดใดก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของทรัพยากรการผลิตที่แต่ละประเทศมีอยู่ ดังนั้น ทฤษฎีนี้ ถ้าหากประเทศใดประเทศหนึ่งมีแรงงานจำนวนมาก กระบวนการผลิตของประเทศนั้นก็จะเป็น การผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น(labor intensive) ก็จะผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยในการผลิต
อีกทั้ง ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากประเทศใดประเทศหนึ่งมีปัจจัยทุนจำนวนมาก กระบวนการผลิตของประเทศ นั้นก็จะเป็นการผลิตที่ใช้ทุนเข้มข้น(capital intensive) ก็จะผลิตและส่ง ออกสินค้าที่ใช้ทุนเป็นปัจจัยในการผลิตด้วย
ตัวอย่าง ความได้เปรียบเทียบโดยเปรียบเทียบ ตัวอย่าง
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ หมายถึงหลักการ ที่อธิบายว่าประเทศหรือบริษัทสามารถผลิตสินค้าหรือบริการใดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเปรียบเทียบกับการผลิตสินค้าหรือบริการอื่นๆ ซึ่งทำให้ประเทศหรือบริษัทสามารถเลือกที่จะผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความได้เปรียบสูงสุด และนำมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการที่ผลิตไม่ได้ดีเท่านั้น
ตัวอย่างของทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในการผลิตสินค้าระหว่างประเทศ A และประเทศ B ซึ่งมีข้อมูลดังนี้
- ประเทศ A ผลิตผ้าได้ 1 หลา หรือผลิตต้นมะพร้าวได้ 2 หลา
- ประเทศ B ผลิตผ้าได้ 1 หลา หรือผลิตต้นมะพร้าวได้ 3 หลา
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า
- การผลิตต้นมะพร้าวในประเทศ A มีความได้เปรียบสูงกว่าประเทศ B
- ในขณะที่การผลิตผ้าในประเทศ B มีความได้เปรียบสูงกว่าประเทศ A
จึงเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองประเทศที่จะเลือกที่จะผลิตและนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกัน โดยประเทศ A จะเลือกที่จะผลิตต้นมะพร้าว เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับผ้าที่ประเทศ B ผลิตได้มากกว่าประเทศ A ในขณะที่ประเทศ B จะเลือกที่จะผลิตผ้าและนำมาแลกเปลี่ยนกับต้นมะพร้าวที่ประเทศ A ผลิตได้มากกว่าประเทศ B ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองประเทศจะมีประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนสินค้ากันตามความได้เปรียบในการผลิตสินค้าของแต่ละประเทศ
เรามีประสบการณ์ด้านเว็บไซต์มายาวนาน ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เป็นการให้ข้อมูลต่อผู้อ่าน เราจะสามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางของชีวิตเราได้อย่างไร ผมจึงสร้าง halojepang.com ขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้อ่านที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ ได้ฟรี
การทำงานออนไลน์และมีรายได้นั้นมีจริง ยิ่งโลกปัจจุบันแล้ว มีช่องทางมากมาย ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ ขอแค่ตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จได้