ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของ เฮคเชอร์-โอลิน (ออแลง) คืออะไร?
ทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน คือ ทฤษฎีในด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่อธิบายว่าทำไมประเทศต่างๆจะมีการค้ากันระหว่างประเทศ โดยพยายามอธิบายผลตอบแทนที่ได้จากการค้าของประเทศใดๆ
โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศ ได้แก่ แรงงาน (labor), ทุน (capital) และทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตสินค้าของแต่ละประเทศ
- สถานการณ์พื้นฐาน: สองประเทศที่เหมือนกัน (A และ B) มีปัจจัยเริ่มต้นต่างกัน
- ดุลยภาพอิสระ ( AAAB ): ไม่มีการค้า การผลิตส่วนบุคคลเท่ากับการบริโภค
- ดุลการค้า: ทั้งสองประเทศบริโภคเท่ากัน ( CA = CB ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกเหนือจาก ขอบเขตความเป็นไปได้ในการผลิตของตนเอง; จุดผลิตและบริโภคแตกต่างกัน
ทฤษฎีนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศจะเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าที่ต้องการปัจจัยการผลิตที่มีมากในเศรษฐกิจของตนและจะส่งออกสินค้าเหล่านั้น ในขณะเดียวกันจะนำเข้าสินค้าที่ต้องการปัจจัยการผลิตที่ขาดแคลนในเศรษฐกิจของตน
เนื่องจากแต่ละประเทศมักจะมีทรัพยากรการผลิตในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป การผลิตสินค้าชนิดใดก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของทรัพยากรการผลิตที่แต่ละประเทศมีอยู่
ดังนั้นถ้าหากประเทศใดประเทศหนึ่งมีแรงงานจำนวนมาก กระบวนการผลิตขอ’ประเทศนั้นก็จะเป็น การผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น (labor intensive) ก็จะผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นปัจจัยในการผลิต
ซึ่งในทางตรงกันข้ามนั้น ถ้าหากประเทศใดประเทศหนึ่งมีปัจจัยทุนจำนวนมาก กระบวนการผลิตของประเทศ นั้นก็จะเป็นการผลิตที่ใช้ทุนเข้มข้น(capital intensive) ก็จะผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้ทุนเป็นปัจจัยในการผลิต
ทฤษฎีนี้เน้นสองสมมติฐานหลัก:
- ว่าประเทศแต่ละประเทศมีปริมาณของปัจจัยการผลิตอย่างต่างกัน เช่นแรงงาน ทุน และทรัพยากรธรรมชาติ
- ว่าการผลิตสินค้าจะใช้การผสมผสานของปัจจัยการผลิตเหล่านี้ในปริมาณและชนิดต่าง ๆ
ตัวอย่าง Heckscher-Ohlin Model
(แบบจำลอง Heckscher-Ohlin หรือ นิยมเรียกว่าแบบจำลอง HO หรือแบบจำลอง 2X2X2 เป็นทฤษฎีในการค้าระหว่างประเทศที่เสนอว่าประเทศต่างๆ ส่งออกสินค้าที่ตนผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีจำนวนมาก)
ความเป็นมาของทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของ เฮคเชอร์-โอลิน (ออแลง)
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศที่พิจารณาปริมาณทรัพยากรตามแนวคิดของนักเศรษฐ ศาสตร์ชาวสวีเดน 2 คน คือ เฮคเชอร์ (Heckscher) กับ โอห์ลิน (Ohlin) ที่เรียกว่า “ทฤษฎีการค้า ที่พิจารณาปริมาณทรัพยากร หรือทฤษฎีเฮคเชอร์-โอห์ลิน” (Factor Endownments Approach or Heackscher-Ohlin Theory)
ทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน (Heckscher-Ohlin Theory) เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Eli Heckscher และ Bertil Ohlin ในปี ค.ศ. 1930 และได้รับความนิยมมากในวงการวิชาการด้านการค้าระหว่างประเทศทำให้เกิดการศึกษาและวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ในภายหลัง ซึ่งเป็นทฤษฎีที่สำคัญในการอธิบายการค้าระหว่างประเทศ โดยทฤษฎีนี้จะอธิบายว่าผู้ประกอบการจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำและประสิทธิภาพสูงในการผลิต เมื่อมีการเปิดเผยตลาดระหว่างประเทศ
ทฤษฎีนี้ยังช่วยในการอธิบายสาเหตุของการกระจายของแรงงานและการแบ่งแยกงานในประเทศแต่ละประเทศ โดยสรุปผลทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลินเป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมและมีผลกระทบในการจัดการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน
แนวคิดหลักของทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน
แนวคิดหลักของทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน คือ แต่ละประเทศจะมีปัจจัยต่างๆ ที่มีความสมดุลไม่เท่ากัน และสามารถผลิตสินค้าที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยการผลิตที่มีมากในประเทศนั้น ซึ่งเป็นการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดต้นทุนในการผลิตได้
ตามทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน ประเทศที่มีปัจจัยการผลิตมากในปริมาณใดๆ จะมีโอกาสสูงที่จะมีการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตนั้นๆ เป็นปัจจัยหลัก โดยจะมีการผลิตสินค้าในปริมาณมาก และมีความเหมาะสมกับปัจจัยการผลิตที่มีมากในประเทศนั้น
นอกจากนี้ ประเทศที่มีปัจจัยการผลิตมากในปริมาณหนึ่งๆ จะมีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีมากในประเทศอื่น เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าในปริมาณที่เพียงพอและมีความเหมาะสมกับปัจจัยการผลิตในประเทศนั้น
ดังนั้น ทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลินจึงเน้นไปที่ความสมดุลของปัจจัยการผลิตในแต่ละประเทศเพื่อเป็นกำหนดสินค้าที่จะส่งออกและนำเข้าในการค้าระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับทั้งสองฝ่ายในการค้าระหว่างประเทศ โดยทำให้เกิดการแบ่งแยกงานการผลิตในแต่ละประเทศโดยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศโดยส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีราคาถูก
เฮคเชอร์-โอห์ลินเสนอแนวคิด
เฮคเชอร์-โอห์ลินเสนอแนวคิดว่า ประเทศต่างๆ ควรมุ่งผลิตสินค้าชนิดที่ใช้ปัจจัยการผลิต ที่ประเทศมีอยู่อย่างมากเหลือเฟือ (Abundant factor) เพราะต้นทุนค่าเสียโอกาสในการใช้ปัจจัยการ ผลิตนั้นต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนค่าเสียโอกาสในการใช้ปัจจัยการผลิตที่ประเทศมีอยู่อย่าง ขาดแคลน และประเทศควรส่งออกสินค้าที่ผลิตไปแลกเปลี่ยนกับสินค้านําเข้าที่ต้องใช้ปัจจัยการผลิตที่ประเทศมีอยู่อย่างขาดแคลนเป็นจํานวนมากในการผลิต เช่น ประเทศจีนมีแรงงานในประเทศ มากเหลือเฟือเมื่อเทียบกับปัจจัยทุน ทําให้ได้เปรียบในการผลิตสินค้าที่ผลิตโดยใช้แรงงานมากใน การผลิต (Labor-intensive goods) เช่นสิ่งทอจึงควรผลิตและส่งออกส่งทอไปขายที่ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ในขณะที่ประเทศเนเธอร์แลนด์มีปัจจัยทุนมากเหลือเฟือเมื่อเทียบกับแรงงาน (Capital-intensive goods) และส่งออกไปขายที่ประเทศจีน เมื่อประเทศทั้งสองทําการค้าขาย ระหว่างกัน แต่ละประเทศก็จะได้สินค้าชนิดที่ต้องใช้ปัจจัยการผลิตที่ตนมีอยู่อย่างขาดแคลนเป็น จํานวนมากในการผลิตสินค้านั้นในต้นทุนที่ต่ำกว่าการผลิตขึ้นเอง ทําให้ประเทศคู่ค้าต่างได้รับ ประโยชน์จากการผลิตตามสภาพปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในประเทศ และจากการค้าระหว่างประเทศ
ตามทฤษฎีของเฮคเชอร์-โอห์ลินค่อนข้างจะมีเหตุผลสนับสนุนการอธิบายแบบแผนการค้าระหว่างประเทศ เพราะได้มีการคํานึงถึงความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบที่เกิดจากปัจจัย การผลิตอื่นๆ ด้วย ไม่ได้พิจารณาเฉพาะความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบที่เกิดจากประสิทธิภาพของ แรงงานเท่านั้น และค่อนข้างสอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง (รัตนาและพุทธกาล, 2549)
ตัวอย่างทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของ เฮคเชอร์-โอลิน (ออแลง)
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของเฮคเชอร์-โอลิน (Heckscher-Ohlin theory) เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายว่าปริมาณ และลักษณะของการค้าสินค้าระหว่างประเทศจะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง คือ
- 1 ปัจจัยผลิตภัณฑ์
- 2 ปัจจัยปัจจุบัน (factor endowments) ของแต่ละประเทศ
ตัวอย่างที่ 1
- ถ้าประเทศ A มีปัจจัยปัจจุบันเป็นแรงงานมาก แต่มีแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตของไม่มากนัก
- ในขณะที่ประเทศ B มีปัจจัยผลิตภัณฑ์ที่ใช้การผลิตแรงงานมาก เช่น เครื่องจักร
- ปัจจุบันเป็นแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตของมากกว่าประเทศ A แต่มีแรงงานไม่มากนัก
จากนั้นตามทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของเฮคเชอร์-โอลิน
- ประเทศ A จะมีแนวโน้มที่จะส่งออกสินค้าที่ต้องใช้แรงงานน้อยกว่า
- ในขณะที่ประเทศ B จะมีแนวโน้มที่จะส่งออกสินค้าที่ต้องใช้แรงงานมากกว่า
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศของเฮคเชอร์-โอลินเป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมมากในวงการเศรษฐศาสตร์และเป็นหลักการที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์และอธิบายการค้าสินค้าระหว่างประเทศในหลายๆ ประเทศทั่วโลก เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่สำคัญและได้รับความนิยมมากในวงการเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะการวิเคราะห์และอธิบายการค้าสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสาเหตุที่ทฤษฎีนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีความเป็นรูปธรรมและเชื่อถือได้ในการอธิบายภาวะการค้าสินค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน
ข้อดี Heckscher-Ohlin Trade Theory
ข้อดี | อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม |
ช่วยอธิบายประเทศได้ว่าทำไมมีการค้าสินค้าระหว่างประเทศ | ทฤษฎี Heckscher-Ohlin ช่วยให้เข้าใจได้ว่าทำไมมีการค้าสินค้าระหว่างประเทศ เป็นต้นแบบของการอธิบายสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ |
ช่วยให้ประเทศสามารถเลือกย้ายตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เหมาะสม | การประยุกต์ใช้ทฤษฎี Heckscher-Ohlin ช่วยให้ประเทศสามารถเลือกย้ายตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มีปัจจัยผลิตภัณฑ์สูง หรือมีปัจจัยผลิตภัณฑ์ที่ตนเองมีอยู่มาก ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุนได้ |
ช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในตลาดสินค้า | การค้าสินค้าระหว่างประเทศที่เกิดจากการประยุกต์ใช้ทฤษฎี Heckscher-Ohlin ช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในตลาดสินค้า โดยประเทศสามารถเลือกผลิตสินค้าที่มีปัจจัยผลิตภัณฑ์สูง เช่น สินค้าที่มีความชำนาญของแรงงานมากๆ และสามารถจำหน่ายได้ในตลาดระดับโลก |
ช่วยให้เข้าใจการกระจายแรงงานและทรัพยากรระหว่างประเทศ | ช่วยให้ผู้วิเคราะห์เข้าใจถึงความแตกต่างในการกระจายแรงงานและทรัพยากรระหว่างประเทศและสามารถสรุปผลว่าประเทศไหนมีทรัพยากรเหลือที่จะนำเข้าหรือส่งออกได้มากกว่ากัน |
ช่วยให้สามารถทำนายการค้าได้ | ช่วยให้ผู้วิเคราะห์สามารถทำนายว่าประเทศไหนจะมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ หรือนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ อย่างไร |
ช่วยให้สามารถสรุปผลเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนของประเทศได้ | ช่วยให้ผู้วิเคราะห์สามารถสรุปผลว่าการแลกเปลี่ยนของประเทศนั้นๆ จะเป็นไปได้อย่างไร จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆ อย่างไร |
ช่วยให้ผู้บริหารรับรู้แรงจูงใจของการค้าสินค้า | ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงแรงจูงใจของการค้าสินค้าในแต่ละประเทศ เช่น แรงจูงใจจากความต้องการสินค้า ความต้องการใช้ |
ข้อเสีย Heckscher-Ohlin Trade Theory
ข้อเสีย | อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม |
ไม่สามารถอธิบายความแตกต่างได้
|
ไม่สามารถอธิบายความแตกต่างของราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากสิ่งที่ไม่สามารถหาข้อมูลได้ เช่น ความแตกต่างในคุณภาพหรือลักษณะการผลิต |
เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
|
การเปลี่ยนแปลงของความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสามารถส่งผลต่อการทำนายผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการค้าระหว่างประเทศได้ |
ไม่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ของการค้าของรัฐ | ไม่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ของการค้าของรัฐที่มีอิทธิพลอย่างมากในการรักษาการค้าของประเทศได้ เช่น การใช้นโยบายการค้าของรัฐหรือการจำกัดการนำเข้า
|
อธิบายการค้าที่เกี่ยวข้องการค้าความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างประเทศไม่ได้
|
ทฤษฎีไม่สามารถอธิบายการค้าที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สถานการณ์การเงินของประเทศหรืออัตราแลกเปลี่ยน
|
ต้องใช้ข้อมูล | การคำนวณและการใช้งานข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศนั้นซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีการคำนวณที่มีความซับซ้อน |
ไม่สนใจปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับการค้า | ทฤษฎีการค้า Heckscher-Ohlin นั้นพิจารณาแต่ปัจจัยที่เกี่ยวกับการค้า เช่น การมีปัจจัยผลิตภัณฑ์และค่าใช้จ่ายในการผลิต โดยไม่พิจารณาปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้า เช่น นโยบายของรัฐบาล ค่าขนส่ง และความชอบธรรมชาติ |
ไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางเทคโนโลยี | ทฤษฎีสมมติว่าทุกประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเดียวกันและสามารถผลิตสินค้าในระดับประสิทธิภาพเดียวกันได้เสมอ แต่ความสมมตินี้ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ในบางประเทศอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างในค่าใช้จ่ายในการผลิต |
สมมติว่าตลาดสมบูรณ์แบบ | ทฤษฎีสมมติว่าทุกตลาดเป็นตลาดสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายความว่า บริษัทไม่มีอำนาจในตลาดและไม่สามารถส่งผลต่อราคาได้ แต่ในความเป็นจริง มีอุตสาหกรรมที่มีการผลิตแบบมอนโพลีหรือโอลิกอุปสรรค ซึ่งอาจทำให้ราคาถูกเบียดเสียหรือส่งผลต่อแนวโน้มการค้า |
สรุปทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน (Heckscher-Ohlin Trade Theory)
แนวคิดหลักของทฤษฎีการค้าเฮคเชอร์-โอห์ลิน (Heckscher-Ohlin Trade Theory) คือ การอธิบายว่าทำไมประเทศจะเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้ากัน โดยทฤษฎีนี้จะตอบคำถามว่าประเทศใดที่มีปัจจัยการผลิตแตกต่างกันมาก จะมีแนวโน้มที่จะส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยปัจจัยการผลิตที่มีมากในประเทศนั้น และนำเข้าสินค้าที่ผลิตด้วยปัจจัยการผลิตที่มีน้อยในประเทศนั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
หลักการของทฤษฎีนี้คือ “ปัจจัยการผลิต” (Factor Endowments) ซึ่งหมายถึงทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตสินค้า เช่น แรงงาน ทุน เทคโนโลยี และวัสดุอันตราย โดยทฤษฎีเฮคเชอร์-โอห์ลินจะวิเคราะห์ว่าประเทศใดมีปัจจัยการผลิตต่างกันมากน้อยแค่ไหน และจะมีแนวโน้มที่จะผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีมากในประเทศนั้นมากกว่า ส่วนประเทศอื่นๆ ที่มีปัจจัยการผลิตต่างกันจะมีแนวโน้มที่จะผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีมากในประเทศนั้นๆ
เรื่องความแตกต่างกันของปัจจัยการผลิตเริ่มต้น (Factor Endownments) ที่แต่ละประเทศมีอยู่ และราคาปัจจัยการผลิต (Factor Prices) ระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของการค้า (โดยมีสมมติฐานว่าเทคโนโลยีและรสนิยมเหมือนกัน) ตามทฤษฏีนี้ แต่ละประเทศจะส่งออกสินค้าเน้นไปที่ปัจจัยการผลิตที่มีมากผ่านการเปรียบเทียบ ซึ่งจะทำให้ปัจจัยการผลิตนั้นมีราคาถูก และนำเข้าสินค้าเน้นไปที่ปัจจัยการผลิตที่หายาก โดยเปรียบเทียบซึ่งปัจจัยการผลิตดังกล่าวจะมีราคาแพง
เรามีประสบการณ์ด้านเว็บไซต์มายาวนาน ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เป็นการให้ข้อมูลต่อผู้อ่าน เราจะสามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางของชีวิตเราได้อย่างไร ผมจึงสร้าง halojepang.com ขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้อ่านที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ ได้ฟรี
การทำงานออนไลน์และมีรายได้นั้นมีจริง ยิ่งโลกปัจจุบันแล้ว มีช่องทางมากมาย ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ ขอแค่ตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จได้