ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher คืออะไร
ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher คือ ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายความสัมพันธ์กันของส่วนประกอบราคาและปริมาณของเงิน โดยทฤษฎีนี้ได้รับการสร้างขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ชื่อว่า Irving Fisher ในปี 1911 ตามทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher จะบอกว่า ราคาสินค้าทั้งหมดในตลาดจะเปลี่ยนแปลงตามปริมาณของเงินที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ กล่าวคือ เมื่อปริมาณเงินเพิ่มขึ้น ราคาของสินค้าจะเพิ่มขึ้นด้วย และเมื่อปริมาณเงินลดลง ราคาของสินค้าก็จะลดลงด้วย
ทฤษฎีนี้ได้รับความสนในและเป้นที่นิยมมากในการวิเคราะห์เกี่ยวกับอินเฟเลชั่นในระบบเศรษฐกิจ และได้ถูกนำไปใช้ในการอธิบายสาเหตุของเหตุการณ์เช่นว่าทำไมราคาของสินค้าถูกส่งต่อลดลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือทำไมปริมาณเงินของตลาดต่างชาติถูกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกทั้ง ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นทฤษฎีที่สำคัญมากในเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากมีผลต่อการเข้าใจและการวิเคราะห์เกี่ยวกับอินเฟเคต์ของการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ใช้ทฤษฎีนี้ในการวิเคราะห์สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของราคาและเงินเฟ้อในตลาดที่เกี่ยวข้องกัน
ประวัติความเป็นมาทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher
ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนาโดย Irving Fisher นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี 1911 มีโดยเป้าหมายหลักของทฤษฎีนี้ คือ “การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบราคาและปริมาณของเงิน”
Irving Fisher เกิดในปี 1867 ที่เมือง Saugerties ของรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และได้รับการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์จากที่แวมาว์ ที่มหาวิทยาลัยไฮส์ (Yale University) โดยเป็นศาสตราจารย์ชื่อดังและได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญของศตวรรษที่ 20 ของสหรัฐอเมริกา
ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เกี่ยวข้องกับแนวคิดของสมการปริมาณเงินหมุนเวียน (quantity theory of money) ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินในการหมุนเวียนและระดับราคาของสินค้าและบริการ Fisher เสนอว่า ผลรวมของปริมาณเงินและความเร็วในการหมุนเวียนของเงินเท่ากับผลรวมของราคาสินค้าและบริการทั้งหมด Fisher กล่าวว่า การเพิ่มปริมาณเงินในระบบเทียบเท่ากับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการ เนื่องจากผู้ซื้อจะมีเงินมากขึ้นซึ่งจะเป็นเหตุผลให้ผู้ขายเพิ่มราคาสินค้าและบริการเพื่อให้เท่ากับจำนวนเงินที่ผู้ซื้อมี
โดยนับถือว่าปริมาณเงินและความเร็วในการหมุนเวียนของเงินเป็นตัวแปรอิสระในทฤษฎีนี้ ดังนั้นเมื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบจะส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเท่ากับเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน และในทางกลับกันเมื่อลดปริมาณเงินในระบบจะส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการลดลงเท่ากับการลดลงของปริมาณเงิน
ความสำคัญทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher
ความสำคัญทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher ยังสามารถอธิบายความสำคัญในเรื่องอื่นๆ ได้ดังนี้
อธิบายสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของราคา – ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher ช่วยให้ผู้วิเคราะห์เห็นได้ชัดเจนว่าเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไร คือเพราะมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
อธิบายผลกระทบของเงินเฟ้อ – ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher ช่วยให้เราเข้าใจว่าการเพิ่มปริมาณเงินจะเป็นการกระตุ้นการเติบโตของเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาและเศรษฐกิจโดยรวม
ช่วยในการวางแผนการลงทุน – ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher ช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและราคาในตลาดที่เกี่ยวข้อง
ใช้ในการวางแผนการเงินของบริษัท – ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวางแผนการเงินของบริษัท เนื่องจากช่วยให้บริษัทสามารถปรับการเงินของตนให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสภาพการเงินในปัจจุบันได้
มีผลต่อการวางแผนการเงินของรัฐบาล – ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher มีความสำคัญต่อการวางแผนการเงินของรัฐบาล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินสามารถส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและราคาในตลาดที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยรวม
ช่วยในการวางแผนการลงทุนส่วนบุคคล – ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาพการเงินในปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง
แนวคิดทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher
แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังของทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher คือ การแยกแยะตัวแปรระหว่างอัตราเงินเฟ้อ (inflation) และอัตราดอกเบี้ย (interest rate) เพื่อให้เข้าใจว่าส่วนไหนของการเปลี่ยนแปลงราคามีผลต่ออัตราดอกเบี้ยจริง นักเศรษฐศาสตร์ Irving Fisher จึงได้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและอัตราดอกเบี้ย โดยทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มีผลต่อราคาและเศรษฐกิจโดยรวม
แนวคิดที่สำคัญของทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher คือ การเชื่อมโยงระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับการเติบโตของเงินเฟ้อ โดยเมื่อเงินเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากผู้ให้เงินต้องการรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อรับรางวัลที่มากขึ้นในการยืมเงิน เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจะทำให้เงินเหลือคงลดลง และจะส่งผลต่อการเติบโตของเงินเฟ้อในอนาคตด้วย อีกทั้งยังเน้นความสำคัญของการวางแผนการเงิน โดยให้ความสำคัญกับการปรับใช้งานงบประมาณและแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนและบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญอีกอย่าง คือ ยังเน้นความสำคัญของการดูแลรักษาความมั่นคงของระบบเงินธนาคาร โดยการรักษาความเสถียรของเงินธนาคารจะช่วยลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย
ดังนั้น แนวคิดที่สำคัญของทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher คือการเชื่อมโยงระหว่างปริมาณเงิน อัตราดอกเบี้ย และราคาของสินค้าและบริการ โดยการเข้าใจและวิเคราะห์แนวคิดนี้จะช่วยให้ผู้เข้าใจเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนสามารถดำเนินกิจกรรมในตลาดการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
Fisher Theory Effect คืออะไร?
Fisher Effect หรือที่เรียกว่า “ผลกระทบของทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher” คือ เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีปริมาณเงินของ Irving Fisher ที่อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและราคาในตลาดที่เกี่ยวข้องกัน ตาม Fisher Effect ถ้ามีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งก็จะทำให้สินค้าของประเทศนั้น ๆ มีราคาสูงขึ้นเนื่องจากค่าเงินของประเทศนั้นมีค่ามากขึ้นกว่าสินค้าของประเทศอื่น ๆ ที่มีค่าเงินต่ำกว่า
นักเศรษฐศาสตร์ใช้ Fisher Effect เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยต่อเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและราคาในตลาดที่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้น Fisher Effect เป็นหลักการที่สำคัญในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินและการลงทุนในระยะยาว
ตัวอย่างของ Fisher Effect
คือ เมื่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศเพิ่มขึ้น จะทำให้อัตราดอกเบี้ยจริงของสินทรัพย์ในประเทศนั้นๆ ลดลงเนื่องจากผู้ให้เงินต้องการได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพื่อป้องกันการสูญเสียเงินด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงนั้นก็จะทำให้เงินเหลือคงในระบบลดลงด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อราคาและเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศนั้น นั่นคือผลกระทบของทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher หรือ Fisher Effect ต่อตลาดการเงินและการลงทุนในระยะยาว
สูตรคำนวณ ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher
สมการ Fisher Effect ใช้สำหรับอะไร
สมการ Fisher Effect ใช้สำหรับระบุว่าอัตราดอกเบี้ยระบุเท่ากับผลรวมของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงบวกอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้น จึงมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยจริงในตลาดการเงิน และการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ โดยเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจะทำให้อัตราดอกเบี้ยจริงที่ผู้กู้ต้องจ่ายให้กับผู้ให้กู้เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ค้าหรือผู้ลงทุนมีแรงจูงใจในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ในอนาคต
สูตรที่นิยมใช้
- i ≈ r + π
โดยที่
- i คือ อัตราดอกเบี้ยจริง (real interest rate)
- r คือ อัตราดอกเบี้ยที่เป็นบางที (nominal interest rate)
- π คือ อัตราเงินเฟ้อ (inflation rate)
สูตรนี้อธิบายว่าอัตราดอกเบี้ยจริงของสินทรัพย์จะประมาณเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นบางที (nominal interest rate) บวกกับอัตราเงินเฟ้อ (inflation rate) นั่นคือ ส่วนผสมของการเปลี่ยนแปลงราคาและอัตราดอกเบี้ยสามารถอธิบายได้ว่ามีผลต่ออัตราดอกเบี้ยจริงของสินทรัพย์
ตัวอย่างการคำนวณ
ตัวอย่างที่ 1
ถ้าอัตราดอกเบี้ยที่เสนอ คือ 5% และอัตราเงินเฟ้อเป็น 2% ในปีนี้ จะได้ว่า
- จากสูตร i = r + π
- i = 5% + 2%
- i = 7%
ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจริงในปีนี้ คือ 7% หรือสามารถแปลว่า เงินที่ให้กู้ยืมในปีนี้จะมีมูลค่าน้อยลงเทียบกับเงินที่ให้กู้ยืมในปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ค่าอัตราดอกเบี้ยที่เสนอในตลาดยังคงเท่าเดิม ดังนั้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยจริง ในที่นี้คือ 7% จะเป็นการลงทุนที่ดีกว่าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่านี้
ตัวอย่างที่ 2
สมมติว่าอัตราดอกเบี้ยที่เสนอโดยธนาคารคือ 3% และอัตราเงินเฟ้อเป็น 2% ในปีนี้ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจริงในปีนี้คือ
- จากสูตร i = r + π
- i = 3% + 2%
- i = 5%
ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยจริงในปีนี้คือ 5% หรือสามารถแปลว่า เงินที่ให้กู้ยืมในปีนี้จะมีมูลค่าน้อยลงเทียบกับเงินที่ให้กู้ยืมในปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการในปีนี้ ค่าอัตราดอกเบี้ยที่เสนอในตลาดเป็น 3% เท่านั้น ดังนั้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยจริงในที่นี้คือ 5% อาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในการลงทุนนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ในตลาดการเงินและการลงทุนในขณะนั้น
ข้อดีทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher
-
ความเข้าใจง่าย
เป็นทฤษฎีที่เข้าใจง่าย และสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและระดับราคาได้อย่างชัดเจน โดยความสัมพันธ์นี้สามารถแสดงได้ด้วยสมการที่เข้าใจง่าย ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์สามารถเข้าใจและใช้งานได้ง่าย
-
ความสัมพันธ์กับการลงทุนและการออม
เป็นทฤษฎีที่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจริงในตลาดการเงินและการลงทุนและการออมได้อย่างชัดเจน โดยสมการ Fisher Effect จะช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้ออมเข้าใจว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจริงในตลาดการเงินจะส่งผลให้ผู้ลงทุนและผู้ออมมีแรงจูงใจในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
-
มีการใช้งานจริงในตลาดการเงิน
เป็นทฤษฎีที่มีการใช้งานจริงในตลาดการเงิน โดยสมการ Fisher Effect จะช่วยให้ผู้ประกอบการในตลาดการเงินสามารถประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง
-
ช่วยป้องกันการเงินเสียหาย
การใช้ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บริหารการเงินและนักลงทุนสามารถป้องกันการเงินเสียหายได้ โดยสมการ Fisher Effect จะช่วยให้ผู้บริหารการเงินและนักลงทุนทำการวางแผนการลงทุนและการออมในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาดการเงิน เพื่อลดความเสี่ยงในการเงิน
-
เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บริหารการเงินและนักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสมการ Fisher Effect จะช่วยให้ผู้บริหารการเงินและนักลงทุนสามารถปรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงหรือต่ำได้อย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการเงิน
-
ช่วยในการตัดสินใจการลงทุน
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ประกอบการในตลาดการเงินสามารถตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสมการ Fisher Effect จะช่วยให้ผู้ประกอบการในตลาดการเงินเข้าใจและประเมินผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยจริงในตลาดการเงินในการตัดสินใจการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
ข้อเสียทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher
-
ไม่สามารถใช้กับสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ
ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher มีการตั้งแต่งแผนที่ผิดเมื่อเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เช่น การสูญเสียงานหรือการติดลบของเศรษฐกิจ ในกรณีนี้ปริมาณเงินอาจไม่สามารถผลักดันราคาสินค้าและบริการขึ้นได้แม้ว่าปริมาณเงินจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
-
ไม่สามารถคาดเดาความเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินได้
ทฤษฎีนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ว่าปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณเงินในระบบ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ทฤษฎีนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าราคาสินค้าและบริการจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
-
ไม่เหมาะสมกับระบบเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น วิกฤตการเงิน การใช้ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher อาจไม่เหมาะสมเนื่องจากราคาสินค้าและบริการอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและเกิดความไม่เสถียร
-
ไม่สามารถใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ
ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher ไม่สามารถใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงในการควบคุมการเงินของธนาคารกลาง และการเปลี่ยนแปลงในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น
-
การใช้ทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher อาจไม่สามารถสรุปความซับซ้อนของตลาดได้
ในสภาวะที่ตลาดไม่สมบูรณ์และมีความซับซ้อน เช่น การเงินของตลาดอุตสาหกรรม การใช้ทฤษฎีนี้อาจไม่สามารถสรุปความซับซ้อนของตลาดได้อย่างสมบูรณ์แบบได้
-
ไม่สามารถระบุถึงความแตกต่างในการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการได้อย่างชัดเจน
มีข้อจำกัดในการระบุถึงความแตกต่างในการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ ดังนั้น หากมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อราคาสินค้าและบริการ เช่น การเปลี่ยนแปลงในส่วนของความต้องการของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงในการผลิตสินค้าและบริการ เป็นต้น อาจทำให้ปริมาณเงินและราคาสินค้าและบริการมีความแตกต่างกันไปในทางที่ไม่คาดคิดได้
-
ข้อจำกัดของข้อมูล
มีข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลเนื่องจากต้องใช้ข้อมูลที่เป็นข้อมูลประจำปี โดยไม่สามารถเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลาสั้นๆ ได้ เช่น ราคาสินค้าและบริการที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ อาจไม่สามารถตรวจสอบได้โดยแม่นยำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินผลของทฤษฎีนี้
-
การมีการปรับตัวของผู้บริโภค
ไม่สามารถคาดคะเนความปรับตัวของผู้บริโภคได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ผลของทฤษฎีนี้ไม่แม่นยำตามที่คาดหวังไว้ได้เปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจส่งผลกระทบต่อการคำนวณทฤษฎีปริมาณเงินของ Fisher ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์และการคาดการณ์ไม่แม่นยำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริมาณเงินแต่อย่างใด แต่เป็นผลของแรงขับเคลื่อนตลาดต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
-
ไม่สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์การลงทุน
ไม่สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนได้ ซึ่งการวิเคราะห์การลงทุนจะต้องใช้ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของราคาหรือผลตอบแทนกับความเสี่ยงและเอกลักษณ์ของกองทุนหรือบริษัทหรือตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริมาณเงินหรือระบบการหมุนเวียนของเงินในตลาดโลก
เรามีประสบการณ์ด้านเว็บไซต์มายาวนาน ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เป็นการให้ข้อมูลต่อผู้อ่าน เราจะสามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางของชีวิตเราได้อย่างไร ผมจึงสร้าง halojepang.com ขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้อ่านที่จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ ได้ฟรี
การทำงานออนไลน์และมีรายได้นั้นมีจริง ยิ่งโลกปัจจุบันแล้ว มีช่องทางมากมาย ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ ขอแค่ตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จได้